ข่าวเย็นประเด็นร้อน - หลายคนคงรู้กันแล้ว ว่าคดี ม.112 ที่ "นายทักษิณ" ตกเป็นจำเลย ศาลฯ สั่งยกฟ้อง แต่ทำไมศาลฯ ถึงยกฟ้อง อันนี้ต้องไปดูรายละเอียดในคำพิพากษากัน
ย้อนกลับไป วันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2558 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน เวลานั้น นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อของประเทศเกาหลีใต้ ขณะลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ซึ่งบางช่วงบางตอนของเนื้อหาพูดพาดพิงถึงการเมืองไทย และโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถูกนักวิชาการ และฝ่ายการเมือง ตีความว่าเข้าข่ายความผิด ม.112 จนมีการแจ้งความดำเนินคดี
แต่ในผลการอ่านคำพิพากษา มีท่อนที่ระบุว่า ถ้อยคำสัมภาษณ์เป็นการใช้สรรพนามถึงบุรุษที่ 3 โดยไม่ได้ระบุถึงใครโดยตรง เพียงใช้คำว่า "เขา" และกล่าวถึง "องคมนตรี" "ทหาร" และ "คนในวัง"
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของคลิปวิดีโอ ที่พยานฝ่ายโจทก์ไม่สามารถนำคลิปฉบับเต็ม หรือหลักฐานที่น่าเชื่อถือมายืนยันได้ว่า ไม่ได้มีการตัดต่อในการสัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ รวมถึงไม่สามารถสืบหาคนที่นำคลิปเผยแพร่ได้ เพียงแต่พบว่า "คนแรก" ที่นำคลิปมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมา แล้วเข้าใจตรงกันว่า จำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหาร
นอกจากนี้ ยังมีพยานฝั่งโจทก์อย่างน้อย 2 คน ที่เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง เพื่อขับไล่จำเลย แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติ จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลาง จึงทำให้พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ คำให้สัมภาษณ์ ก็ไม่เข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาท ศาลจึงพิพากษายกฟ้องในทุกข้อหา
และผลจากคำพิพากษานี้เอง ทนายวิญญัติ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่กังวลหากจะมีการยื่นอุทธรณ์คดี และความเห็นส่วนตัวก็คิดว่า มีความเป็นไปได้ที่อัยการสูงสุด อาจจะไม่พิจารณาไม่อุทธรณ์ โดยดูจากผลการพิเคราะห์ของศาลชั้นต้น
เรื่องนี้ทีมข่าวสอบถามกับ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่าเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร พนักงานอัยการเจ้าของสำนวน จึงต้องนำคำพิพากษา พร้อมคำเบิกความ มาพิจารณาแล้วทำความเห็นไปยังสำนักงานคดีอัยการสูงสุดพิจารณากลั่นกรองอีกที ภายใน 30 วัน