ทอ.ลงนามสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F และข้อตกลงการชดเชยนำเข้ายุทโธปกรณ์ ยัน ดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้
เมื่อวันที่ 26 ส.ค.68 ที่กองบัญชาการของทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่าวานนี้ (25 ส.ค.) พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้ลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ Gripen E/F ระยะที่ 1 ภายใต้การจัดหาแบบ รัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government: G to G) ตลอดจนลงนามข้อตกลงการชดเชยนำเข้ายุทโธปกรณ์ หรือ Defence Offset ตามโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี ระยะที่ 1 ทั้งนี้ พิธีลงนามจัดขึ้น ณ กรุงสตอกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดน
โดยมี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Mr.Pål Jonson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน Mr.Micael Johansson ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Saab AB (publ) และผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมในพิธี ถือเป็นประวัติศาสตร์ก้าวสำคัญที่แสดงถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงระหว่าง ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสวีเดน การลงนามประกอบด้วย
- ส่วนที่ 1 สัญญาหลัก หรือ Main Package ซึ่งเป็นสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี แบบ Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง ระหว่างกองทัพอากาศ และองค์การบริหาร จัดการยุทธภัณฑ์ทางทหารสวีเดน (FMV)
- ส่วนที่ 2 ข้อตกลงการชดเชยนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Memorandum of Agreement :
MOA) หรือ Defence Offset ซึ่งเป็น สัญญาการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ระหว่าง
กองทัพอากาศ และบริษัท Saab AB (publ)
“กองทัพอากาศ ขอยืนยันว่า การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยมีคณะกรรมการของกองทัพอากาศพิจารณารายละเอียดในทุกมิติ ทั้งด้านความ คุ้มค่า ขีดความสามารถ และผลประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ การลงนามในสัญญาหลักและข้อตกลงการชดเชยนำเข้ายุทโธปกรณ์ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีซึ่ง
เป็นการลงทุนด้านความมั่นคงเท่านั้น หากแต่ยังเกื้อกูลให้เกิดประโยชน์ในมิติอื่น ๆ (Non-Defence Sector) เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านการเกษตร ด้านเทคโนโลยี และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น กองทัพอากาศมั่นใจว่า กองทัพอากาศได้ใช้ภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยรวมต่อประเทศ” โฆษกกองทัพอากาศกล่าว