ภท. ออกแถลงการณ์ตอบรับเงื่อนไขพรรคประชาชน นายกฯ 4 เดือน แก้รัฐธรรมนูญ เชิญทุกพรรคการเมือง สส. ทุกคนร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่แก้วิกฤตประเทศ
วันนี้ (29 ส.ค.68) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยมติคณะกรรมการบริหารพรรค ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค รับข้อเสนอของพรรคประชาชน และดำเนินการรวบรวมเสียง สส. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มี สส. มากที่สุดของสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้สนับสนุนหลัก
โดยความชอบธรรมและประเพณีปฏิบัติทางการเมือง พรรค ปชน. ในฐานะพรรคการเมือง ที่มี สส. เป็นอันดับ 1 มีสิทธิที่จะรวบรวมเสียง สส. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเป็นลำดับแรก แต่เนื่องจากข้อจำกัดของกฎหมาย ทำให้พรรค ปชน. ไม่สามารถเสนอบุคคลให้สภาฯ พิจารณาลงมติเป็นนายกฯ ได้ พรรค ปชน. จึงเสนอแนวทางการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล ตามที่ได้ประกาศให้ทราบทั่วกันแล้ว ซึ่งพรรค ภท. ได้หารือกับพรรคการเมืองบางพรรคและ สส. จำนวนหนึ่ง เห็นตรงกันว่าสามารถรับข้อเสนอของพรรค ปชน. เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศและประชาชน จากนั้นจะยุบสภาฯ จัดให้มีการเลือกตั้ง สส. คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมือง ตามกำหนดเวลาที่พรรค ปชน. เสนอ
หลังจากพรรค ภท. รับข้อเสนอของพรรค ปชน. ในวันนี้แล้ว จะเชิญพรรคการเมืองต่าง ๆ มาหารือขอรับการสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาล เพื่อบริหารประเทศในสถานการณ์ที่มีปัญหาภัยความมั่นคง ภัยเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และภัยสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้พ้นจากระยะวิกฤต แล้วจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อไป
สำหรับนโยบายและภารกิจหลักของรัฐบาลใหม่ ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของ พรรค ปชน. มี 3 ประการ ได้แก่ 1. การแก้ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา 2. การจัดทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยเร็ว และ 3. การยุบสภาผู้แทนราษฎร คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองภายในเวลา 4 เดือน นับจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น
พรรคภูมิใจไทย ขอขอบคุณพรรคประชาชน และขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนพรรคการเมืองทุกพรรค และ สส. ทุกท่าน ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อแก้วิกฤติของประเทศ แก้ปัญหาของประชาชน และคืนอำนาจให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ตัดสินใจทางการเมือง อีกครั้ง