วันนี้ (30 ส.ค. 68) นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุถึง 5 โรคทางเดินอาหาร คนอายุน้อยก็เป็นได้ โดยหมอเจดได้ระบุว่า พอพูดถึง “โรคทางเดินอาหาร” หลายคนก็มักจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนแก่ คนมีโรคประจำตัว หรือคนที่กินอาหารเผ็ดจัด มันจัด
แต่ในความจริงแล้ว คนอายุน้อย ๆ อย่างวัยเรียน วัยทำงานนี่แหละ ที่เสี่ยงเจอบ่อยไม่แพ้กัน เพราะวิถีชีวิตยุคนี้เต็มไปด้วยปัจจัยที่ทำให้ระบบย่อยอาหารของเราแปรปรวนง่ายขึ้น ตั้งแต่การกินไม่เป็นเวลา ความเครียดสะสม นอนดึก ดื่มกาแฟเยอะ ไปจนถึงการเลือกอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดหรือบุฟเฟต์ต่าง ๆ
1. กรดไหลย้อน (GERD)
โรคนี้ฮิตมากนะ เพราะชีวิตประจำวันของวัยทำงานหรือวัยเรียนหลายคนเข้าข่ายเสี่ยงเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินมื้อดึก
กินเสร็จแล้วนอนเลย ชอบดื่มกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือทำงานเครียดจนระบบย่อยรวนไปหมด
อาการที่มักเจอคือแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว คอแห้ง ไอแห้งเรื้อรัง หรือบางคนเสียงแหบโดยไม่รู้สาเหตุจริง ๆ แล้วสาเหตุหลักคือกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานไม่ดี ทำให้กรดจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารบ่อย ๆ ถ้าเป็นไม่บ่อยก็อาจแค่รำคาญ
แต่ถ้าเป็นเรื้อรังนี่แหละครับที่อันตราย เพราะเยื่อบุหลอดอาหารจะอักเสบ และถ้าปล่อยนาน ๆ ก็มีโอกาสเปลี่ยนเป็นเซลล์ผิดปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารในอนาคตได้
หลายคนอาจคิดว่า “ก็แค่จุกเสียด กินยาลดกรดเดี๋ยวก็หาย” แต่การแก้แค่ชั่วคราวโดยไม่ปรับพฤติกรรม อาจทำให้โรคนี้อยู่กับเราไปเรื่อย ๆ วิธีดูแลตัวเองเริ่มง่าย ๆ คือเลี่ยงมื้อดึก ไม่กินแล้วนอนทันที ลดกาแฟ ของมัน ของทอด และหมั่นออกกำลังกาย
2. แผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น
โรคนี้จริง ๆ แล้วไม่ได้เกิดเฉพาะคนสูงอายุเหมือนที่หลายคนเข้าใจ คนอายุ 20–30 ก็เป็นได้ โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ชอบกินยาแก้ปวดบ่อย ๆ (ยาในกลุ่ม NSAIDs อย่างไอบูโพรเฟนหรือไดโคลฟีแนค) หรือคนที่เครียดจัด พักผ่อนน้อย
อาการหลัก ๆ คือปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ปวดแบบจุก ๆ แสบท้อง บางคนกินแล้วดีขึ้น บางคนกินแล้วแย่ลงก็มี อาการมันไม่ได้ชัดเจนเสมอไป เลยทำให้หลายคนชะล่าใจ แต่ความจริงแล้วถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน มันอาจพัฒนาไปจนถึงขั้นเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำเลยก็ได้
อีกตัวการหนึ่งที่สำคัญคือเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของคนเราได้ แล้วอยู่ได้นานด้วยนะ แบบไม่หายเอง
ถ้าติดแล้วไม่รักษา เชื้อนี้จะทำให้กระเพาะอักเสบเรื้อรัง จนเกิดแผล และยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าใครปวดท้องบ่อย ๆ จุก ๆ เรื้อรัง กินยาแล้วไม่หาย ควรไปตรวจส่องกล้องหรืออย่างน้อยตรวจหาเชื้อ H. pylori
3. ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ
อันนี้บอกเลยว่าเป็นโรคที่เจอบ่อยสุด ๆ ในวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยเฉพาะสายบุฟเฟต์ ปิ้งย่าง ชาบู หรือรวมถึงเผลอกินของไม่สะอาด
โรคนี้มาแบบรวดเร็วมาก กินตอนเย็น เช้ามาวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งวันก็มี สาเหตุเกิดจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับอาหารหรือน้ำไม่สะอาด ทั้งแบคทีเรียอย่าง Salmonella หรือ E. coli ไวรัสอย่าง Norovirus หรือพยาธิบางชนิด
อาการที่เจอบ่อยคือท้องเสียเฉียบพลัน ปวดบิด อาเจียน คลื่นไส้ มีไข้ บางรายถึงขั้นถ่ายเป็นมูกเลือด
สิ่งที่ต้องระวังคือ ภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะถ้ามีอาการท้องเสียรุนแรงหรืออาเจียนจนกินอะไรไม่ได้เลย บางเคสอ่อนเพลียจนต้องนอนโรงพยาบาล และถ้าเป็นเชื้อรุนแรง บางครั้งเชื้อสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการติดเชื้อในเลือดที่อันตรายถึงชีวิตได้เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าท้องเสียเล็กน้อยจะไม่เป็นไร ถ้าอาการรุนแรง ถ่ายเป็นเลือด มีไข้สูง หรืออ่อนเพลียมาก ควรรีบพบแพทย์
4.กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS)
ถึงแม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่บอกเลยว่ามันทำให้คุณภาพชีวิตแย่ได้มากจริง ๆ คนที่เป็นลำไส้แปรปรวน มักจะวนเวียนอยู่กับอาการปวดท้องเรื้อรัง บางวันท้องเสีย บางวันท้องผูก บางคนสลับไปสลับมาไม่รู้จบ
ยิ่งไปกว่านั้น ความเครียด วิตกกังวล หรือแม้แต่การนอนน้อย ก็เป็นตัวกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้ทันที สิ่งที่ทำให้โรคนี้ซับซ้อนคือ เวลาตรวจจริง ๆ ทั้งส่องกล้อง ทำอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์ มักไม่เจอแผล ไม่เจอมะเร็งอะไร
แต่อาการกวนใจตลอดเวลา กระทบกับชีวิตประจำวันด้วยนะ เช่น บางคนทำงานไม่ได้ เรียนไม่ได้ ต้องหาห้องน้ำใกล้ ๆ ตลอดเวลา การดูแลลำไส้แปรปรวนจึงต้องปรับทั้งเรื่องอาหาร (เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะ เช่น ถั่ว นมสด หรือเครื่องดื่มอัดลม) และเรื่องจิตใจไปพร้อมกันการจัดการความเครียดจึงสำคัญพอๆกับอาหารเลยครับ
5.มะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคสุดท้ายนี้ถือว่าน่ากลัวที่สุด เพราะหลายคนยังเข้าใจว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งทางเดินอาหารเป็นโรคของคนอายุเยอะ แต่เดี๋ยวเราเจอมะเร็งลำไส้ใหญ่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในคนอายุต่ำกว่า 50 ปี
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการกิน เช่น กินเนื้อแดงหรืออาหารแปรรูปเยอะ กินผักผลไม้น้อย ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ รวมถึงการขาดการขยับตัว ขาดการออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน อีกส่วนก็มาจากพันธุกรรม เช่น ถ้ามีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ โอกาสที่เราจะเป็นก็สูงขึ้น
อาการที่ต้องระวังคือ ท้องผูกสลับท้องเสีย ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการอ่อนเพลียผิดปกติ ถ้าใครอายุเกิน 45 ปี หรือมีคนในบ้านเคยเป็นมะเร็งลำไส้ ควรตรวจเช็กไว้ก่อน หรือใครที่มีความเสี่ยง หรืออาการผิดปกติ ถึงจะอายุไม่เยอะแต่อย่าชะล่าใจ
จริง ๆโรคนี้ถ้าเจอตั้งแต่ระยะต้น ๆ โอกาสรักษาหายขาดสูงมาก เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะถ้ามีประวัติครอบครัว ควรเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุน้อยเลย
โดยทั้ง 5 โรคที่ผมพูดมา มันไม่ได้เลือกอายุ ต้องบอกว่าจริง ๆ คนอายุน้อยก็เสี่ยงเป็นได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะจากพฤติกรรมการกิน ความเครียด การนอนดึก หรือพันธุกรรม
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตตัวเอง อย่ามองข้ามอาการเล็ก ๆ อย่างปวดท้องบ่อย แสบอกเรื้อรัง ถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปน เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนโรค