แก๊งขนยาเสพติดซิ่งเก๋งหนีตายจากการจับกุม เสียหลักพลิกคว่ำตกน้ำ รวบ 2 หนุ่มใต้ ยึดยาบ้า 2.5 ล้านเม็ด

แก๊งขนยาเสพติดซิ่งเก๋งหนีตายจากการจับกุม เสียหลักพลิกคว่ำตกน้ำ รวบ 2 หนุ่มใต้ ยึดยาบ้า 2.5 ล้านเม็ด

View icon 507
วันที่ 1 ก.ย. 2568 | 16.26 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
วันนี้ (1 ก.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) และหน่วยกู้ภัยสรรเพ็ชญ์พิจิตร กำลังเร่งช่วยเหลือคนร้ายจำนวน 2 คน ซึ่งได้รับบาดเจ็บติดอยู่ในซากรถยนต์เก๋ง หลังจากเสียหลักจากการถูกตำรวจไล่ล่าตกคูน้ำข้างถนน โดยนำช่วยเหลือนำขึ้นมาได้ทั้ง 2 คน เป็นเครือข่ายลำเรียงยาเสพติด พบของกลางยาบ้าซุกในรถ 10 กระสอบ จำนวน 2.5 ล้านเม็ด โดยเหตุเกิดบนถนนเลี่ยงเมือง หมายเลข 111 พิจิตร-เนินสมอ ต.ป่ามะคาบ อ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร

พ.ต.อ.อนุกูล ดาวลอย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร (รอง ผบก.ภ.จว.พิจิตร) กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าว ตำรวจชุดปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติด บช.ปส. ได้ประสานตำรวจ ภ.จว.พิจิตร ร่วมกับตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร ทำการสกัดกั้นรถยนต์เก๋ง สีดำ ทะเบียน กท 713 กำแพงเพชร ซึ่งขณะตำรวจ ปส.แสดงตัวเข้าจับกุมบริเวณกลางสี่แยกระหว่างติดสัญญาณไฟแดง แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ไหวตัวทันเร่งขับรถยนต์เก๋งหลบหนีการจับกุม จากบริเวณสี่แยกในตัวเมืองพิจิตร และหลบหนีมาเส้นทางถนนเลี่ยงเมือง พิจิตร-เนินสมอ

ต่อมาตำรวจ ปส.และ ตำรวจพิจิตร ได้ทำการไล่ล่าและสกัดกั้น จากนั้นรถของคนร้ายได้เสียหลักพลิกคว่ำตกคูน้ำข้างทาง ซึ่งตำรวจช่วยกันนำตัวออกมาจากตัวรถยนต์เก๋งที่ตกคูน้ำสภาพรถหงายท้องล้อชี้ฟ้า แบบทุลักทุเล ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพิจิตร ทราบชื่อคือ นายอาคม อายุ 27 ปี ชาว จ.สุราษฎร์ธานี และ นายชีพจร อายุ 37 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ ตำรวจ ปส. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ได้ทำการแกะรอยเครือข่ายลำเลียยงยาเสพติดดังกล่าว มาจากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือไทย-เมียนมา ด้าน จ.เชียงราย ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวจะใช้ลำเลียงยาเสพติดดังกล่าวออกเส้นทางรองระหว่างหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ลัดเลาะเส้นทางมา และจะจ้างคนในพื้นที่คอยนำทาง จะไม่ใช้เส้นทางหลัก เพื่อหลบด่านตรวจ จึงเข้ามาถึงพื้นที่ จ.พิจิตร เมื่อได้โอกาสจึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม สำหรับผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาเสพติดจำนวนดังกล่าวเพื่อจะไปส่งมอบให้เครือข่ายในพื้นที่ภาคกลาง โดยจะได้ค่าจ้างคนละ 25,000 บาท โดยตำรวจจะเร่งขยายผลเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป