เขมรซ้อมบินโดรนทิ้งระเบิด มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เผยกองทัพภาคที่ 2 ยังต้องการแอนตีโดรน 99 ระบบ ชวน ปชช. ร่วมสนับสนุน เผยใช้งบฯ 211 ล้าน เร่งรัดสุด ๆ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างยังต้องใช้เวลา 4-6 เดือน อาจไม่ทันสถานการณ์
วันนี้ (2 ก.ย.68) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า หลังจากการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำงานกับกองทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะกับ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 โดยมูลนิธิฯ ได้ทำโครงการโดรนทิ้งระเบิด โดรนลาดตระเวน โดรนโลเคเตอร์ และแอนตีโดรน โดยเป็นสะพานบุญให้กับประชาชนที่บริจาคเงิน ร่วมกับผู้ผลิตที่มีความรู้ในด้านการผลิตโดรนและแอนตีโดรนฝีมือคนไทยที่มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพงแต่ไม่เปิดเผยตัว ได้มาทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ต่อฮธิปไตยของชาติและความปลอดภัยในชีวิตทหาร ดังที่ทราบแล้วนั้น
สำหรับโครงการเกือบสุดท้ายที่ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ลงนามเป็นเอกสารกับมูลนิธิฯ ในการที่จะสั่งทำโดรนชนิดพิเศษและแบตเตอรี ซึ่งยังเป็นความลับทางราชการที่ยังไม่อาจะเปิดเผยได้จนกว่าจะส่งมอบหรือลงปฏิบัติการ จากจำนวนเงินของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่เหลืออยู่ประมาณ 52 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ส.ค.68 มูลนิธิฯ ได้เร่งมอบโดรนทิ้งระเบิดให้อีก 41 ลำ โดรนลาดตระเวน 20 ลำ และ แอนตีโดรนแบบพกพา (ระบบต่อต้านโดรน) จำนวน 20 ระบบ ทั้งหมดนี้ทำโดยคนไทย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาหยุดยิงที่ผ่านมา กัมพูชานอกจากจะมีจำนวนโดรนบินขึ้นมามากรุกล้ำน่านฟ้าไทยในจุดต่าง ๆ ที่มีความสำคัญแล้ว ยังมีระบบแอนตีโดรนที่กำลังส่งแรงสูงตลอดแนวชายแดนอย่างผิดหูผิดตาด้วย อีกทั้งปรากฏเป้นคลิปวิดีโอว่ากัมพูชาเริ่มมีการฝึกนักบินโดรนสำหรับทิ้งระเบิดแล้วเช่นเดียวกัน
นั่นแสดงว่าหากเกิดการปะทะอีกครั้งหลังจากนี้ แม้ฝ่ายไทยจะไม่แพ้ แต่อาจจะมีความเสี่ยงที่ทหารในฝั่งกัมพูชาจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้
หลังจากมูลนิธิฯ ได้ส่งมอบอุปกรณ์เกี่ยวกับโดรนและแอนตีโดรนให้กองทัพ เมื่อวันที่ 25 ส.ค.68 ปรากฏว่าโดรนของฝั่งกัมพูชาไม่สามารถบินเข้ามาในพื้นที่ในรัศมีการครอบคลุมของระบบแอนตีโดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ และทำให้โดรนในฝั่งกัมพูชาได้ลดลงไปอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด จนเกือบจะไม่มีข่าวเรื่องโดรนกัมพูชาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แตกต่างจากระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ที่โดรนในฝั่งกัมพูชาได้บินอยู่เหนือสถานที่สำคัญของกองทัพไทยและสถานที่สำคัญของพลเรือนโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้
อย่างไรก็ตา มระบบแอนตีโดรนจำนวน 20 ระบบ (สถานี) ซึ่งมอบไปโดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบแอนตี้โดรนที่ดีที่สุดและใช้ได้จริงในขณะนี้ แต่ก็มีจำนวนไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบัน มูลนิธิฯ จึงได้สอบถามไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 ว่ายังต้องการจำนวนระบบแอนตี้โดรนอีกเท่าไหร่ เพื่อให้เพียงพอในการรักษาชีวิตทหาร ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมและแจ้งมาว่าต้องการอีก 99 ระบบ จึงจะเพียงพอ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว พลโทบุญสิน จึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กห 0482/3832 เมื่อวันที่ 1 ก.ย.68 แจ้งให้ทางมูลนิธิฯ ให้ทราบ 2 เรื่อง
1.กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าระบบแอนตีโดรนที่ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินมอบให้ไป 20 ระบบนั้น มีประสิทธิภาพสูง และแก้ปัญหาหารต่อต้านโดรนฝ่ายตรงกันข้ามได้ดีจริง
2.กองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมความต้องการของหน่ายในพื้นที่ซึ่งต้องการแอนตี้โดรนที่มีประสิทธิภาพสูงของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน รวมทั้งสิ้น 99 ระบบ (สถานี)
ระบบแอนตีโดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน มีมูลค่าระบบละ 2,140,000 บาท ดังนั้นหากจะผลิตจำนวน 99 ระบบ จะต้องใช้งบประมาณอีกจำนวน 211,860,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะต้องเปิดให้มีการระดมทุนอีกครั้งจากประชาชนเพื่อรวบรวมให้กับกองทัพภาคที่ 2 ให้ได้มากที่สุดตามกำลังของพี่น้องประชาชนเท่าที่จะทำได้
ซึ่งนอกจากเราจะอยู่ระหว่างที่รัฐบาลรักษาการแล้ว ต่อให้มีงบประมาณหรือใช้วิธีพิเศษในการเร่งรัดแล้วก็ตาม ยังต้องมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการที่ต้องใช้เวลา 4-6 เดือนกว่าจะได้อุปกรณ์ที่ต้องการ ซึ่งอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาระหว่างไทย-กัมพูชา
มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงกราบเรียนมาเพื่อแจ้งต่อพี่น้องประชาชนให้ทราบในโครงการดังกล่าว ท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโครงการเพื่อจัดซื้อแอนตี้โดรนไทย ให้กับกองทัพภาคที่สอง ได้ที่บัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 008-2-18199-9 (โปรดระวังมิจฉาชีพ ไม่มีสแกนคิวอาร์โค้ด หรือกดลิงก์บัญชีใด ๆ เด็ดขาด) โดยเงินทุกบาทของทุกท่านจะเปิดเผย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพจริงในการใช้งานเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนที่สนับสนุนกองทัพกองทัพในการปกป้องอธิปไตย และทำให้ทหารมีความปลอดภัย อย่างน่าภาคภูมิใจสืบไป