สื่อกัมพูชา ตั้งคำถามความช่วยเหลือ 7 โครงการที่รัฐบาลสมัย “แพทองธาร” ตกลงกับ “ฮุน มาเนต” จะยังช่วยอยู่หรือไม่ หลัง “แพทองธาร” ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ด้านนักวิชาการเขมรบอก ไทยต้องช่วยเหมือนเดิม เพราะเซ็นสัญญาระหว่างรัฐ ไม่ใช่เฉพาะตัวบุคคล
วันนี้ (3 ก.ย. 68) สำนักข่าว ขแมร์ ไทม์ส ของกัมพูชา รายงานว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6:3 ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปมคลิปเสียงสนทนากับ “สมเด็จฯ ฮุน เซน” และคณะรัฐมนตรี ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ เมื่อวันที่ 29 สิงหามคมที่ผ่าน ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชาเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อตกลงทั้ง 7 ฉบับ ที่ “แพทองธาร” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และ “ฮุน มาเนค” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) จำนวน 7 ฉบับ และข้อตกลงอย่างเป็นทางการอื่น ๆ ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ว่าไทยจะให้ความช่วยเหลือกัมพูชาต่อไปหรือไม่
โดยข้อตกลงดังกล่าวมุ่งไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีในหลายภาคส่วน รวมถึงด้านแรงงานและการจ้างงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการค้าข้ามพรมแดน รวมถึงการบริหารจัดการ บำรุงรักษา และใช้งานสะพานมิตรภาพกัมพูชา-ไทย หรือในชื่อสะพานบ้านหนองเอี่ยน-สะตึงบท ซึ่งเป็นจุดตรวจการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการตกลงก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ที่ปรม-บ้านผักกาด ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และความร่วมมือปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 57
ขณะนี้โครงการต่าง ๆ ถูกระงับไว้เนื่องจากความขัดแย้งทางพรมแดนระหว่าง กัมพูชา-ไทย ซึ่งขณะนี้ยังคงดำเนินอยู่ และหลังจากการปลด “แพทองธาร” ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าข้อตกลงต่าง ๆ อาจล่าช้า สะดุดหรือหยุดชะงัก ซึ่งส่งผลกระทบทางการค้า การลงทุน และโครงการข้ามพรมแดน
นายเซือน แซม นักวิเคราะห์จากราชวิทยาลัยแห่งกัมพูชา (RAC) ให้สัมภาษณ์กับทาง ขแมร์ ไทม์ส ว่า แม้ว่า “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทย จะถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว แต่บันทึกความเข้าใจและข้อตกลงทั้ง 7 ฉบับ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป เนื่องจากทำขึ้นระหว่างกัมพูชาและไทย ไม่ได้ทำกันระหว่างตัวบุคคล และคาดว่านายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไปจะดำเนินการปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านี้ ส่วนข้อตกลงบางฉบับที่มีกำหนดการหมดสัญญา ข้อตกลงจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติเมื่อระยะเวลาดังกล่าวมาถึง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ข้อตกลงยังคงมีผลบังคับทางกฎหมายและบังคับใช้ได้จนกว่าจะถึงเวลาหมดสัญญาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทย ประกอบกับความตึงเครียดบริเวณชายแดน อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดน ขัดขวางการค้า และสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนที่พึ่งพาข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการต่อไปจะต้องไม่เพียงแต่ต้องมีเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้แน่ใจว่ามีความปลอดภัยตามแนวชายแดน เพื่อให้รัฐบาลทั้งสองประเทศสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ