Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 3 กันยายน 2568
1.จีนโชว์อาวุธใหม่แสดงแสนยานุภาพทางทหาร ฉลอง 80 ปี สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ออกมาส่งสัญญานเตือนประชาคมโลกว่าโลกกำลังเผชิญกับทางเลือกระหว่างสันติภาพหรือสงคราม ด้วยการขนอาวุธออกมาโชว์แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในพิธีสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่ ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี ชัยชนะเหนือการรุกรานของญี่ปุ่น และสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ร่วมชมพิธีด้วย นับเป็นแสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพทางทหารและอิทธิพลทางการทูตของจีน ท่ามกลางการกำหนดนโยบายที่ไม่มีความแน่นอนของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่มีต่อทั้งชาติพันธมิตรและศัตรู
สำหรับพิธีสวนสนามครั้งนี้มีการขนยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ออกมาเปิดตัวหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเลเซอร์รุ่นใหม่ LY-1 ที่สามารถทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์ Dongfeng-5 รุ่นใหม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีพิสัยการยิงไกลถึงทวีปอเมริกา ยานใต้น้ำไร้คนขับขนาดยักษ์ AJX002 ที่ดำน้ำลึกได้ถึง 18-20 เมตร ไปจนถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง
ทั้งนี้ หลังพิธีสวนสนามเป็นเวลา 70 นาที ได้มีการปิดท้ายด้วยการปล่อยนกแห่งสันติภาพจำนวน 80,000 ตัว
2."คิม จอง อึน" เคียงข้าง 2 ผู้นำชาติมหาอำนาจครั้งแรก
“คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เดินทางไปยังพระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ในฐานะเจ้าภาพ ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ ก่อนร่วมชมพิธีสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่ ในโอกาสครอบรอบ 80 ปี สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกองทัพจีนมีชัยชนะเหนือกองทัพญี่ปุ่น ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ผู้นำจีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือปรากฏตัวในสถานที่เดียวกันเป็นครั้งแรก ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ที่ท้าทายสหรัฐฯ มหาอำนาจแห่งโลกตะวันตก
ด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โพสต์กล่าวหาว่า ประธานาธิบดีปูตินและผู้นำเกาหลีเหนือ กำลังสมคบคิดกับประธานาธิบดีจีน ต่อต้านสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขายังกล่าวในทำนองลำเลิกบุญคุณจีนด้วยว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารสหรัฐฯ สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อจำนวนมากเพื่อช่วยปกป้องไม่ให้จีนถูกกองทัพญี่ปุ่นรุกรานมากไปกว่าที่เป็น
3.ผู้อพยพชาวตูนีเซียบุกแทงคนในโรงแรม ที่ฝรั่งเศส
อัยการเมืองมาร์แซย์ (Marseille) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ก.ย.) เวลาราว 14 นาฬิกา 25 นาที เกิดเหตุคนร้ายบุกเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง พร้อมมีด 2 เล่ม และชะแลงอีก 1 อัน ก่อนลงมือไล่แทงคนในโรงแรมได้รับบาดเจ็บ 3 คน เป็นแขกที่มาเข้าพัก, ผู้จัดการโรงแรม และลูกชาย
จากนั้นคนร้ายเดินต่อไปยังบริเวณร้านอาหารที่อยู่ใกล้กันและไล่แทงคนแบบไม่เลือกหน้า ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มอีก 2 คน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปพยายามระงับเหตุพร้อมแจ้งให้คนร้ายทิ้งอาวุธ แต่เขาปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงยิงสกัดทำให้ผู้ก่อเหตุเสียชีวิต
จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า มือมีดรายนี้เป็นผู้อพยพชาวตูนีเซีย ซึ่งมีเอกสารเป็นผู้อพยพแบบถูกกฎหมาย โดยเขาถูกไล่ออกจากโรงแรมเนื่องจากไม่จ่ายค่าเช่าห้องพัก
4.เด็กป่วยอาหารเป็นพิษ 400 คน ที่อินโดนีเซีย
เกิดเหตุซ้ำอีกแล้ว ล่าสุดเด็กนักเรียนอายุ 4-12 ขวบ ประมาณ 400 คน ป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษจากการรับประทานอาหารกลางวันฟรีที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเบงกูลู (Bengkulu) ทางตะวันตกของประเทศ ทำให้ต้องมีการสั่งปิดห้องครัวเพื่อตรวจสอบสาเหตุ
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่าน ก็เพิ่งมีผู้ที่ป่วยอาหารเป็นพิษถึง 365 คน จากการรับประทานอาหารกลางวันฟรีที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชวากลาง โดยรายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า ผลตรวจสอบพบว่ามีแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งโครงการอาหารกลางวันฟรี ถือเป็นหนึ่งในนโยบายธงของประธานาธิบดีปราโบโว ซูบียันโต ของอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียกำลังเผชิญปัญหาใหญ่หลายเรื่อง รวมทั้งการถูกประท้วงต่อต้านเรื่องสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของ สส. จนลุกลามบานปลายถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตหลายคนแล้ว
5.ดินโคลนถล่มซูดาน ตายอย่างน้อย 1,000 คน
เกิดเหตุดินโคลนถล่มทับหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันตกของซูดาน คาดมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,000 คน พบผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว
ฝนที่ตกหนักทำให้เกิดดินโคลนถล่มลงมาทับหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่เทือกเขามาร์รา ในภูมิภาคดาร์ฟูร์ ทางตะวันตกของซูดาน ซึ่งจากสภาพความเสียหายแทบมองไม่ออกเลยว่าเคยเป็นพื้นที่ชุมชน เนื่องจากถูกดินโคลนปกคลุมไปหมดทั้งหมู่บ้าน โดยเหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่กองทัพปลดปล่อยซูดาน (Sudan Liberation Movement/Army) ซึ่งควบคุมพื้นที่ดังกล่าวเพิ่งนำข้อมูลมาเปิดเผย เพราะต้องการขอความช่วยเหลือจากนานาชาติในการช่วยค้นหาร่างผู้เสียชีวิต ซึ่งคาดว่ามีอย่างน้อย 1,000 คน และเพิ่งพบผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว
ทั้งนี้ สงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพซูดานกับกองกำลังติดอาวุธ RSF ที่ยาวนานถึง 2 ปี ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพหนีไปตั้งชุมชนอยู่บนเทือกเขาและปลูกส้มเป็นรายได้เลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพปลดปล่อยซูดานควบคุมอยู่ และไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในสงครามกลางเมืองซูดาน