ทักษิณถอดสูท ถอดเนคไท พับแขนเสื้อ เดินขึ้นรถคุมขัง ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
วันนี้ (9 ก.ย.68) หลังฟังคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 1 ปี เนื่องจากการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย นายทักษิณ ถอดสูท ถอดเนคไท พับแขนเสื้อ ให้เจ้าหน้าที่คุมตัวขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหาของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นรถยนต์ตู้สีขาว ติดลูกกรงเหล็กสีดำ โดยนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ รับตัวออกจากศาลฯ นำตัวไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ต่อมาเวลา 11.55 น. ขบวนรถควบคุมผู้ต้องหาของกรมราชทัณฑ์นำตัวนายทักษิณเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีรถยนต์ตู้ของ น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ ชินวัตร ติดตามเข้าไปส่งที่ด้านหน้าเรือนจำ
ก่อนหน้านี้ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามประกาศกฎกระทรวง มาตรา 33 ของ พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งระบุถึง การกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง การนำตัวผู้ต้องขัง ไปคุมขังที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำ แบ่งออกเป็น คือ 1 กลุ่มที่ระบุว่าที่ไปอยู่ข้างนอกแล้วจะเกิดประโยชน์มากกว่ากรณีที่ถูกคุมขัง 2. กลุ่มที่เห็นว่าจะมีการพัฒนาพฤตินิสัยในที่คุมขังอื่นจะดีกว่า เน้นการพัฒนาพฤตินิสัย 3.กลุ่มที่เป็นเจ็บป่วยสูงอายุ
ส่วนขั้นตอนการเข้าเรือนจำ นายสหการณ์ เปิดเผยบอกว่าในส่วนนี้ยังไม่สามารถพิจารณาได้ เพราะว่าขั้นตอนที่1เรือนจำต้องไปพิจารณา ขั้นตอนที่ 2 ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการในระดับต้น และขั้นตอนต่อไปเสนออธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อพิจารณา เพราะฉะนั้นจึงยังไม่สามารถบอกได้ เพราะไปดูรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณสมบัติเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมด จึงยังไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ต้องขังรายไหนที่จะได้ประโยชน์ดังกล่าว
กรมราชทัณฑ์ จะไม่มีการแถลงข่าว เพราะหากเกิดมีการรับตัวผู้ต้องหามา ก็เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งต้องผ่านกระบวนการทำประวัติเข้าสู่กระบวนการกักตัว กักโรค ส่วนกรณีที่มีกระแสว่าทางกรมราชทัณฑ์มีการเตรียมความพร้อมในการดูแลเป็นพิเศษกับนายทักษิณ
นายสหการณ์ ยืนยันว่า ไม่มีการดูแลเป็นพิเศษ เพราะทำตามขั้นตอนอยู่แล้ว หากนายทักษิณเข้ามาก็ต้องเข้ามาทำประวัติ ทำรายละเอียดของผู้ที่ต้องราชทัณฑ์ ก็ต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอน ยืนยันไม่มี VVIP เนื่องจากสังคมปัจจุบัน ชอบไปดรามา ชอบไปพูดในเชิงที่ทำให้สังคมส่วนใหญ่เข้าใจผิด