ห้องข่าวภาคเที่ยง - เรื่องที่จะเล่าให้ฟัง บอกก่อนเลยว่าเป็นใคร ใครก็เชื่อ อยากให้คุณผู้ชมตั้งใจฟัง เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะหลงไปพัวพันกับบัญชีม้า แบบไม่รู้ตัว
นางสาวกมลพร อายุ 48 ปี เล่าว่าเธอไปซื้อตู้เย็น จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองอุดรธานี ผ่านไปไม่กี่วัน จู่ ๆ มีคนโทรศัพท์มา อ้างว่าเป็นฝ่ายบัญชีของพนักงานห้างฯ ดังกล่าว และแจ้งว่า ตู้เย็นที่เธอซื้อมา เป็นสินค้าชำรุด จะขอคืน และจะคืนเงินให้เธอด้วย จากนั้น ก็มีการแลกไลน์เพื่อติดต่อกัน ซึ่งมิจฉาชีพ ตั้งรูปโพรไฟล์ไลน์ เป็นโลโกห้างฯ จากนั้น มีการส่งรายละเอียดราคาตู้เย็นที่ซื้อ 14,490 บาท มาให้เธอดู เพื่อยืนยันว่าเป็นสินค้าที่เธอซื้อ และขอเลขบัญชีธนาคาร เพื่อจะโอนเงินคืนให้ จากนั้นก็มีคิวอาร์โค้ด และลิงก์ เด้งขึ้นมา ให้กด หลังเธอกดเข้าไป ไม่ถึง 1 นาที มีเงินโอนเข้าบัญชีของเธอ 25,998 บาท
ด้วยความซื่อสัตย์ ตู้เย็นที่เธอซื้อราคา 14,490 บาท แต่เงินที่โอนเข้ามา ยอดมันเกิน เธอก็เลย ทักไปบอกหญิงคนนั้นว่า "โอนมาเกิน" ปลายสายก็ตอบว่า "ขอโทษลูกค้านะคะ ระบบคอมฯ รวน" จากนั้นไม่นาน 25,998 บาท ก็หายออกจากบัญชีไป มันไม่จบ เพราะเงินเก็บของเธออีก 8,000 บาท ก็ไหลออกไปบัญชี ไปจนเกลี้ยง
หลังเกิดเรื่อง เธอรีบโทรศัพท์แจ้งธนาคาร เจ้าหน้าที่แจ้งว่าบัญชีของเธอถูกตำรวจ สภ.แม่ปิง สั่งอายัดไว้ เพราะตรวจพบเป็นบัญชีม้า นาทีนั้นตกใจมาก จากเป็นผู้เสียหาย ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาบัญชีม้า โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอสงสัยโทร.ไปถามตำรวจเจ้าของคดี บอกว่าพบเส้นเงิน 25,998 บาท ของผู้เสียหายคนหนึ่ง ถูกโอนเข้าบัญชีของเธอ ถ้าอยากให้ถอนคดี ต้องนำเงิน 25,998 บาท ไปคืนผู้เสียหาย แล้วจะปลดล็อกบัญชีให้
เรื่องของบัญชีม้า ช่วงนี้กลับมาระบาดหนัก ทำให้บรรดาแม่ค้า พ่อค้าที่จังหวัดบุรีรัมย์ หลายร้านค้า ตื่นตัว งดรับโอนเงินค่าสินค้า ผลคือยอดขายลดฮวบไปกว่า 50% วอนภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไข
ซึ่งเมื่อวาน (16 ก.ย.) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้ขอโทษกลุ่มหาเช้ากินค่ำ หลังใช้มาตรการเข้มสกัดบัญชีม้า ทำให้ผู้หากินโดยสุจริตได้รับผลกระทบ พร้อมย้ำ ขบวนการบัญชีม้า เหมือนมะเร็งร้าย จำเป็นต้องตัดตอน
เจาะลึกลงไปอีกหน่อย ที่ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการอายัดบัญชีธนาคารต้องสงสัย จะดำเนินการอย่างไร ถึงจะปลดล็อกให้ภายในครึ่งวัน
สรุปได้แบบนี้ กรณีที่เป็นผู้ที่ถูกอายัดบัญชีแล้วไปแจ้งความกับตำรวจตามโรงพักต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานแสดงตัวได้เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งไปที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ตำรวจ PCT เพื่อให้เป็นด่านแรกในการตรวจสอบว่า บัญชีที่แจ้งความเข้ามา เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแค่ไหน
หากเป็นบัญชีในกลุ่มสีขาว หรือสีน้ำตาล ก็อาจจะพิจารณาปลดอายัดบัญชีได้เลย แต่ถ้าเป็นกลุ่มสีเทาอ่อน, สีเทาเข้ม หรือสีดำ ต้องรอการตรวจสอบว่าไปเกี่ยวข้องกับคดีไหนบ้าง จากนั้นจะส่งต่อไปให้ศูนย์ AOC เพื่อให้หน่วยงานที่เหลือ ช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถึงจะปลดอายัดบัญชีได้
แน่นอนว่านโยบายช่วงแรก ๆ ก็มักจะมีอะไรติดขัดเสมอ อย่างกรณีของไรเดอร์ที่ถูกอายัดเงิน เพราะมีเส้นทางการเงิน 140 บาท จากบัญชีต้องสงสัยที่ชำระเงินค่าสินค้าเข้ามาในบัญชี ที่เรานำเสนอข่าวไป วันนี้ได้เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ แล้ว แต่กลับถูกส่งเรื่องโยนกันไป โยนกันมา ยังไม่ชัดเจนว่า จะสามารถปลดอายัดบัญชีตามมาตรการใหม่ได้ หรือไม่
อีกเรื่องที่แชร์กันช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมากับกรณีของ คุณยาย อายุ 85 ปี ที่คุยกับคอลเซนเตอร์ แล้วคิดว่านั่นคือตำรวจจริง ไม่ยอมเชื่อตำรวจตัวจริงที่มาตะโกนอยู่หน้าบ้าน แล้วมีข่าวว่าโอนเงินไปกว่า 5 ล้านบาท อายัดได้ทัน 2.5 ล้านบาท คุณพิธพงษ์ ตรวจสอบล่าสุดกับผู้กำกับการ สน.พระโขนง ฝากยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องนี้ใหม่ สรุปแล้ววันนั้นคุณยายเตรียมเงินจะโอนทั้งหมด 3 ล้านบาท แต่โอนไปจริง ๆ แค่ 1 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น ข้อมูลทางการสืบสวนพบว่า ยายโอนเงินไปทั้งหมด 4 บัญชี ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนประสานธนาคาร เพื่อจะนำมาออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด