Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 17 กันยายน 2568
1.“ทรัมป์” เยือนอังกฤษ ผู้ประท้วงรอต้อนรับเพียบ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนางเมลาเนีย ทรัมป์ สตรีหมายเลขหนึ่ง เดินทางถึงกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ช่วงค่ำวานนี้ (16 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการเยือนครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใด เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการถึง 2 ครั้ง
โดยมีผู้ประท้วงรวมตัวเดินขบวนประท้วงการเดินทางมาเยือนอังกฤษของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ทั้งที่บริเวณถนนใจกลางเมืองวินด์เซอร์ และบริเวณด้านหน้าพระราชวังวินด์เซอร์ เพื่อแสดงความไม่พอใจในท่าทีของสหรัฐฯ ต่ออิสราเอลและรัสเซีย รวมทั้งนโยบายอำนาจนิยมของผู้นำสหรัฐฯ
ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงบริเวณพระราชวังวินด์เซอร์ ได้มีการฉายภาพ ประธานาธิบดีทรัมป์, เจ้าชายแอนดรูว์ และ เจฟฟรีย์ เอปสตีน โดยใช้ปราสาทเป็นฉาก ซึ่งทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ เอปสตีน จัดหาหญิงบริการให้ ก่อนตำรวจจะเข้าระงับและจับกุมผู้ประท้วงฐานสร้างความวุ่นวาย 4 คน
2.เอาผิดผู้ลอบยิง “ชาร์ลี เคิร์ก” ถึงประหารชีวิต
“ไทเลอร์ โรบินสัน” (Tyler Robinson) ผู้ต้องสงสัยอายุ 22 ปี คดีลอบสังหาร ชาร์ลี เคิร์ก อายุ 31 ปี นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษ์นิยม และผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขณะปราศรัยที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐยูทาห์ เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏตัวต่อศาลครั้งแรกผ่านวิดีโอจากเรือนจำในยูทาห์เคาน์ตี ช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยยังไม่ยอมรับสารภาพหรือให้ความร่วมมือใด ๆ
อัยการสั่งฟ้อง โรบินสัน ในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาและข้อหาอื่น ๆ รวม 7 กระทงอัตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิต โดยมีการเปิดเผยหลักฐานว่า โรบินสัน ยอมรับกับเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งเป็นหญิงข้ามเพศและคนรักของเขา ด้วยการส่งข้อความไปบอกว่าเขาทิ้งโน้ตข้อความไว้ใต้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ และในนั้นมีข้อความว่า "ผมมีโอกาสจัดการ ชาร์ลี เคิร์ก และผมจะจัดการมันให้ได้" และยังส่งข้อความด้วยว่า เขายิงเคิร์กเพราะทนกับความเกลียดชังไม่ไหวแล้ว
แม้ ชาร์ลี เคิร์ก จะเป็นนักเคลื่อนไหวที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกันจำนวนมากจากมุมมองเรื่องกลุ่มหลากหลายทางเพศ, การแบ่งแยกเชื้อชาติและการสนับสนุนการครอบครองอาวุธปืน แต่การลอบสังหารเขาด้วยกระสุนปืนไรเฟิลเพียงนัดเดียว กลับสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกันมากยิ่งกว่า เพราะถือเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
3.เอกวาดอร์ประท้วงเดือด ตัดงบอุดหนุนน้ำมัน
เหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลใช้ก๊าซน้ำตาเข้าควบคุมฝูงชนและพยายามสลายการชุมชนของกลุ่มผู้ประท้วงที่รวมตัวกันในกรุงกีโต (Quito) เมืองหลวงของเอกวาดอร์ เพื่อประท้วงที่รัฐบาลตัดงบประมาณอุดหนุนน้ำมันดีเซล ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงมีการขว้างปาสิ่งของ, เผาแนวกั้นตามจุดต่าง ๆ และนำหินและดินมากองปิดกั้นถนน
การประท้วงที่บานปลายเป็นความรุนแรง เกิดขึ้นหลังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเอกวาดอร์ตัดสินใจตัดงบประมาณอุดหนุนน้ำมันดีเซลกว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 35,000 ล้านบาท สำหรับผู้บริโภคภาคอุตสหกรรมขนส่งขนาดใหญ่, รถโดยสาร และภาคการเกษตร ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นแกลลอนละ 1.80 - 2.80 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 57-88 บาท ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวางจากผู้ประท้วงที่โต้แย้งว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
ขณะที่ วานนี้ ประธานาธิบดีดาเนียล โนบัว (Daniel Noboa) ประกาศภาวะฉุกเฉินใน 7 จังหวัด เป็นเวลา 60 วัน และห้ามจัดการชุมนุม พร้อมให้อำนาจตำรวจและทหารในการ "ป้องกันและรื้อถอนการชุมนุมสาธารณะที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประชาชน"
4.ไม่อยากฝืนอุดมการณ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Ben & Jerry's ลาออก
“เจอร์รี กรีนฟิลด์” (Jerry Greenfield) ผู้ร่วมก่อตั้ง เบน แอนด์ เจอร์รีส์ (Ben & Jerry's) บริษัทผลิตไอศกรีมชื่อดังในสหรัฐฯ ลาออกจากบริษัท จากการเปิดเผยของ เบน โคเฮน (Ben Cohen) เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทมาด้วยกัน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างบริษัท เบน แอนด์ เจอร์รีส์ กับบริษัทแม่ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคของโลก จากจุดยืนด้านการรับผิดชอบต่อสังคมที่เปลี่ยนไปของบริษัทเรื่องความขัดแย้งในฉนวนกาซา
ทั้งนี้ แม้บริษัทแม่กับ "เบน แอนด์ เจอร์รีส์" มีข้อตกลงร่วมกันเรื่องพันธกิจทางสังคม ก่อนการควบรวมกิจการ แต่เมื่อ "เบน แอนด์ เจอร์รีส์" ประกาศงดขายไอศกรีมในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกอิสราเอลยึดครอง เมื่อปี 2564 กลับถูกขัดขวางจากบริษัทแม่ จากนั้นก็มีการฟ้องร้องกันว่าบริษัทแม่พยายามปิดปากในการแสดงจุดยืนเรื่อง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในฉนวนกาซา และเป็นเหตุให้ เจอร์รี กรีนฟิลด์ ตัดสินใจลาออกเพราะไม่อยากร่วมงานกับบริษัทแม่ ซึ่งปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้อีกต่อไป
5.จีนเรียกร้องสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ถอนขีปนาวุธ “ไทฟอน” ออกจากญี่ปุ่น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า “หลินเจี้ยน” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เผยว่า จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ และญี่ปุ่นถอนระบบขีปนาวุธ “ไทฟอน” (Typhon) ที่ประจำการอยู่ในประเทศญี่ปุ่นออกโดยเร็วที่สุด เนื่องจากการติดตั้งระบบขีปนาวุธดังกล่าวก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาค แม้จีนจะแสดงความกังวลอย่างมาก แต่สหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าติดตั้งระบบขีปนาวุธพิสัยกลางดังกล่าวในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าเป็นการฝึกซ้อมร่วม ซึ่งจีนไม่พอใจอย่างยิ่งและคัดค้านอย่างเด็ดขาดต่อเรื่องนี้
นอกจากนี้ ทาง “หลินเจี้ยน” ยังเผยว่า การที่สหรัฐฯ ติดตั้งระบบขีปนาวุธในประเทศเอเชียนั้น เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงอันชอบธรรมของประเทศอื่น ๆ เพิ่มความเสี่ยงของการแข่งขันด้านอาวุธและการเผชิญหน้าทางทหารในภูมิภาค และก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาค พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ควรเคารพต่อความกังวลด้านความมั่นคงของประเทศอื่นอย่างจริงจัง รับฟังข้อเรียกร้องของประเทศในภูมิภาค และแก้ไขการกระทำที่ไม่ถูกต้อง