อธิบดีปกครอง เร่งตรวจสอบ “ส่วยสัญชาติ” ยัน ขอสัญญาติ-ใบถิ่นที่อยู่ถาวร ไม่มีค่าใช้จ่าย ส่งทีมลงพื้นที่เฝ้าระวัง เผยมีข้าราชการถูกจับกุม ไล่ออก ปลดออกทุกปี
วันนี้ (18 ก.ย.68) ที่ศูนย์บริการประชาชน กรมการปกครอง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน และ นายสมดุลย์ อุตเจริญ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ยื่นหนังสือต่อนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง กรณีพบการเรียกรับผลประโยชน์จากการขอสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบ (ใบถิ่นที่อยู่ถาวร) และการขอมีสัญชาติไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67 โดยหนังสือร้องเรียน ระบุว่า ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ได้เกิดกรณีเรียกรับเงินตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท สำหรับดำเนินการออกใบอนุญาตถิ่นที่อยู่ถาวรให้กับผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานานๆ กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน
นายนิรัตน์ ได้ให้ความมั่นใจ และเน้นย้ำให้ทราบว่า การดำเนินการขอลงรายการสัญชาติไทยและการขอสถานะบุคคล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67 ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎหมายเท่านั้น หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ ทางกรมการปกครองพร้อมดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด และหากมีพยานหลักฐานว่าเกิดการข่มขู่ สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ทันทีโดยไม่ละเว้น ทั้งนี้ ประเด็นที่ร้องทางกรมการปกครองได้จับตา และติดตามอยู่ด้วยแล้ว โดยส่งเรื่องไปยังส่วนปราบปรามการทุจริต สำนักบริหารการทะเบียนลงพื้นที่ ก่อนมีการร้องเรียนดังกล่าวฯ
อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวอีกว่า ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนเพิ่มเติมว่า ส่วนที่ประชาชนเป็นกังวลว่าจะขออนุญาตออกใบถิ่นที่อยู่ถาวรไม่ทันเวลานั้น กรมการปกครองมีกระบวนการติดตามอยู่ เพราะรายชื่อบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน (ขอมีใบถิ่นที่อยู่) และบุตรของบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน ที่เกิดในราชอาณาจักร (ขอมีสัญชาติไทย) รวมจำนวนกว่า 4 แสนคน มีรายชื่อที่ได้สำรวจและขึ้นทะเบียนไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง ก็เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองที่จะเสนอเรื่องให้กับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และขอมติ ครม.ขยายระยะเวลาต่อไปได้
ส่วนเรื่องการแอบอ้างหาผลประโยชน์ในการดำเนินการขอสัญชาติ เป็นสิ่งที่กรมการปกครองเฝ้าระวังไว้แล้ว เพราะพฤติกรรมแบบนี้ตามจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนเคยเกิดขึ้นมาก่อน กระทรวงมหาดไทยจึงประกาศให้เฝ้าระวังและห้ามกระทำการดังกล่าว ส่งผลให้มีข้าราชการถูกจับกุม ไล่ออก และปลดออกในทุกๆ ปี เช่นเดียวกับผู้นำท้องถิ่นก็ถูกดำเนินการทางอาญา