การใช้กำลังตามแนวชายแดนเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย ผบ.เหล่าทัพ ส่งต่อภารกิจชายแดน “ปิด-สร้าง-สู้” ให้ ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ สดุดีทหารตัวเล็ก ๆ ที่อยู่แนวหน้า วันนี้ทหารได้รับการยอมรับจากประชาชน ความนับถือเชื่อมั่น แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ต้องรักษาจิตวิญญาณของนักรบที่เสียสละ ให้อยู่คงนานที่สุด
วันนี้ (19 ก.ย.68) พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แถลงภายหลังการประชุมผู้บัญชาการทางทหาร และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ว่า ได้ฝากภารกิจให้กับ ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ คือเรื่อง “ปิด-สร้าง-สู้” โดยที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องการปิด คือปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งด่านถาวร และด่านชั่วคราว ซึ่งเราได้เสนอไปยังรัฐบาลเพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน เรื่องการสร้าง คือ การสร้างรั้วตามชายแดน และการสร้างแนวป้องกัน เพื่อช่วยเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ
เรื่องการสู้ คือ เรื่องการใช้กำลังตามแนวชายแดนที่มีการปรับรูปแบบไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2554 ที่มีการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ ที่มีการลักลอบวางระเบิด บินโดรน และการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งการใช้กำลังต้องถูกต้องตามกฎหมายเรา และกฎหมายสากลระหว่างประเทศ
เมื่อถามย้ำว่า ในขณะนี้มีการเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพ และเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จะมีรอยต่อระดับการเมืองและนโยบายหรือไม่ พลเอก ทรงวิทย์ กล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วงการเมือง แต่ในระดับกองทัพต้องมีการเชื่อมต่อกัน โดยคณะผู้บัญชาการทางทหารได้พูดคุยทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ชุดเก่า และใหม่ มาร่วมคิด และประชุมร่วมกัน ซึ่งมติในวันนี้จะส่งไปยังรัฐบาล ตรงนี้เป็นตัวเชื่อมสำคัญที่สุด โดยตัวเชื่อมที่ท่านมองไม่เห็น คือ จิตวิญญาณนักรบ วันนี้เราต้องสดุดีคนตัวเล็ก ๆ ที่มาปกป้องแผ่นดิน ไม่ว่า ผบ.เหล่าทัพ ฝ่าย เสธ. จะเก่งแค่ไหน สุดท้ายคนที่แลกด้วยชีวิต ก็คือทหารตัวเล็ก ๆ ที่อยู่แนวหน้า ซึ่งที่ประชุมทุกคนรู้สึกซาบซึ้ง ในบุญคุณทหารทุกคนที่เสียไป ที่ยังอยู่ และที่บาดเจ็บ
ส่วนกรณีกัมพูชานำชาวบ้านมาเป็นโล่มนุษย์รื้อแนวรั้วลวดหนามในเขตไทย พลเอก ทรงวิทย์ กล่าวว่า ได้คุยกับ ผบ.ตร. โดยวานนี้ (18 ก.ย.68) รอง ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่ไป เพื่อดูเรื่องกฎหมาย และวิธีการปฏิบัติตามที่ศาลของไทยได้ตัดสินเรื่องการตวบคุมฝูงชน 7 ขั้นตอน ซึ่งจะวิธีที่เสริมเติมขึ้นมา โดย ผบ.ตร. ให้คำมั่นจะร่วมงานกับกองกำลังป้องกันชายแดน ซึ่งถ้าใช้กฎหมายเข้มข้น สถานการณ์จะไม่บานปลาย และเราสามารถชี้แจงกับต่างชาติได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ครบรอบ 19 ปี เหตุรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แต่บทบาทกองทัพเปลี่ยนแปลง และจากเหตุการณ์สู้รบทำให้ทหารได้รับการยอมรับมากขึ้น พลเอก ทรงวิทย์ กล่าวว่า การยอมรับของประชาชน มาจากการเสียสละทั้งเลือดเนื้อและชีวิต อีกทั้งความเสียสละของผู้นำกำลังทหารต่าง ๆ ที่แสดงว่า เป็นทหารอาชีพ กองทัพเห็นว่า เราจะต้องดำรงเจตนาของนักรบ และทหารของแผ่นดิน ตนได้บอกกับคนรุ่นใหม่ว่า สิ่งต่าง ๆ แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ความนับถือและเชื่อมั่นของประชาชน ก็แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต เราจึงต้องรักษาจิตวิญญาณของนักรบที่เสียสละไปให้อยู่คงนานที่สุด