สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 19 กันยายน 2568

สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 19 กันยายน 2568

View icon 154
วันที่ 19 ก.ย. 2568 | 18.03 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 19 กันยายน 2568

1.กัมพูชาร้องนานาชาติ เข้าแทรกแซงไทย
สำนักข่าว "ขแมร์ไทม์ส" (Khmer Times) ของกัมพูชา รายงานว่า กัมพูชาร้องขอผู้นำโลกให้เข้าแทรกแซง หลังอ้างว่าทหารไทยทำร้ายพลเรือนระหว่างการเผชิญหน้ากัน จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา บริเวณจังหวัดบันทายมีชัย จุดตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว โดยกัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยใช้ลวดหนาม ก๊าซน้ำตา และหนังสติ๊ก โจมตีพลเรือนกัมพูชา รวมถึงพระสงฆ์

นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังกล่าวหาไทยว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเรียกร้องให้องค์กรระดับโลกและระดับภูมิภาค รวมถึงมหาอำนาจของโลกเข้ามาแทรกแซง เพื่อยับยั้ง "การรุกราน" ของไทย ก่อนที่ปัญหาจะบานปลายไปมากกว่านี้

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา โพสต์ข้อความระบุว่า เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (18 ก.ย.) เขาได้ต่อสายคุยโทรศัพท์กับนายอันวาร์ อิบราฮิม  นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียนหมุนเวียน เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่ากังวลที่เกิดขึ้นในจังหวัดบันทายมีชัย ซึ่งนำไปสู่การปะทะระหว่างกองทัพไทยและพลเรือนกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก โดย ฮุน มาเนต ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเข้าแทรกแซงโดยทันที เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างกองทัพไทยและพลเรือนชาวกัมพูชา

2.“ประธานอาเซียน” ต่อสายหา “อนุทิน” หวัง ไทย-กัมพูชา เจรจา JBC
นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ ประธานอาเซียน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด โดยย้ำว่า ทุกฝ่ายควรรักษาความสงบเรียบร้อย อย่าปล่อยให้ความแตกต่างใด ๆ ก่อให้เกิดความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น

นายอันวาร์ ยังขอให้หยิบยกทุกประเด็นที่เกิดขึ้น นำเข้าสู่โต๊ะเจรจาผ่านกลไกการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา เพราะเชื่อว่าการเจรจา คือ หนทางที่ดีที่สุด ในการรักษาสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค

นอกจากนี้ นายอันวาร์ ยังเชิญนายกรัฐมนตรีไทย เยือนมาเลเซีย หลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

3.สหรัฐฯ วีโตร่างมติ UNSC เรียกร้องหยุดยิงถาวรในกาซา
ในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC วานนี้ (18 ก.ย.) สหรัฐฯ ใช้สิทธิ "วีโต" หรือยับยั้งร่างมติที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาอย่างถาวรโดยไม่มีเงื่อนไข และให้อิสราเอลยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดในการส่งมอบความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซา และร่างมติฉบับนี้ ซึ่งร่างโดยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้ง 10 จากทั้งหมด 15 ประเทศ ยังต้องการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวตัวประกันทั้งหมดที่ถูกกลุ่มฮามาสและกลุ่มอื่น ๆ กักขังไว้โดยทันที โดย 14 ชาติ ลงเสียงสนับสนุนร่างมติดังกล่าว ทำให้นับเป็นครั้งที่ 6 แล้วที่สหรัฐฯ ใช้อำนาจยับยั้งร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส

ทั้งนี้ นับตั้งแต่การโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งจุดชนวนสงครามในฉนวนกาซา โดยครั้งนั้นฮามาสสังหารผู้คนไป 1,200 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และมีการจับเป็นตัวประกันประมาณ 251 คน และจากการตอบโต้กลับของอิสราเอลทำให้มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตแล้วมากกว่า 64,000 คน

4.“ตาลีบัน” ห้ามใช้หนังสือที่เขียนโดยผู้หญิงในการสอนมหาวิทยาลัย
รัฐบาลตาลีบัน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ว่า ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตทั่วพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งครอบคลุมหลายจังหวัด โดยระบุว่าเพื่อ "ป้องกันกิจกรรมที่ผิดศีลธรรม" ก่อนหน้านี้กลุ่มนี้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจาร และความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างชาย-หญิงผ่านช่องทางออนไลน์

ทางเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ข้อจำกัดนี้จำกัดเฉพาะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเท่านั้น ส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือจะยังคงใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งการตัดสายไฟเบอร์ออปติกส่วนใหญ่ทำให้สำนักงาน บ้านเรือน และธุรกิจอื่น ๆ ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

นอกจากนี้ รัฐบาลตาลีบัน ยังได้สั่งถอดถอนหนังสือที่เขียนโดยผู้หญิงออกจากหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย และออกกฎห้ามสอนรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและการคุกคามทางเพศ โดยมีหนังสือที่เขียนโดยผู้หญิงถูกแบนประมาณ 140 เล่ม แม้แต่หนังสือ “ความปลอดภัยในการใช้ห้องแลปเคมี” (Safety in the Chemical Laboratory) รวมอยู่ในบัญชีหนังสืออื่นรวม 680 เล่ม ที่ถูกระบุว่า “น่ากังวล” เนื่องจาก “ขัดต่อหลักชารีอะห์และนโยบายของตาลีบัน” และรัฐบาลยังสั่งห้ามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สอน 18 วิชา อ้างว่า “ค้านต่อหลักการกฎหมายชารีอะห์และนโยบายของระบบ”

5.สิงคโปร์ครองแชมป์ “ประเทศปลอดภัยสุดในโลก”
สำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ของจีน รายงานว่า จากรายงานความปลอดภัยระดับโลกที่เผยแพร่โดยแกลลัป (Gallup) เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่าสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกเป็นครั้งที่ 12 แล้ว นับตั้งแต่ปี 2549

เมื่อปี 2567 ชาวสิงคโปร์ 98% ระบุว่า รู้สึกปลอดภัยเมื่อเดินคนเดียวในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขสูงสุดที่แกลลัปเคยบันทึกไว้ทั่วโลก โดยรายงานฉบับนี้ตอกย้ำประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอของสิงคโปร์ในแง่การทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกปลอดภัยในภาพรวม

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นถึงระดับความรู้สึกปลอดภัยที่ใกล้เคียงกันระหว่างเพศ โดยผู้ชาย 98%  และผู้หญิง 97% รายงานว่ารู้สึกปลอดภัย

ทั้งนี้ รายงานระบุว่าผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น อัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำ การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ และความสงบเรียบร้อยในสังคม