กรมชลประทาน ยืนยัน เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ยังสามารถรองรับน้ำจากอิทธิพลพายุ "รากาซา" ได้ ย้ำสถานการณ์น้ำปีนี้น้ำน้อยกว่าปี 2554 เขื่อนด้านบนยังกักเก็บน้ำได้ หากเกิดน้ำท่วมพื้นที่ภาคกลางจะเกิดจากปริมาณฝนตกหนักและน้ำรอการระบายเท่านั้น
วันนี้ (23 ก.ย.68) นายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า แม้ขณะนี้เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ จะมีปริมาณน้ำอยู่ที่ร้อยละ 80 ของความจุ และจากที่คาดการณ์ว่าพายุ "รากาซา" จะพัดขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนาม ในช่วงวันที่ 26 - 27 กันยายนนี้ จึงไม่มีปัญหาทั้ง 2 เขื่อน ยังมีช่องว่างรองรับปริมาณน้ำได้เพียงพอ ส่วนการบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจะเป็นการบริหารจัดการน้ำท้ายเขื่อน
จากการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ลงอย่างละครึ่งของการระบาย ซึ่งจะช่วยลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนและลดผลกระทบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งปริมาณน้ำที่สถานีนครสวรรค์เริ่มทรงตัว ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ดังนั้น การระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในปริมาณ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ไปยังลุ่มน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำน้อย ในอัตราดังกล่าวจึงอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่
โดยจะพยายามคงอัตรานี้ไว้ แต่จะมีพื้นที่เดิมได้รับผลกระทบ เช่น คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง และคลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจากนี้ต้องจับตาสถานการณ์ฝนตกในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง เพราะหากตกหนักจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ ประกอบกับในช่วงปลายเดือนกันยายนและตุลาคมนี้จะเป็นช่วงน้ำหลากพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง ประกอบกับช่วงน้ำทะเลหนุนสูงก็จะทำให้เกิดปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่และน้ำไหลเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนริมน้ำ ซึ่งจะพยายามปรับลดการระบายน้ำเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด
พร้อมยืนยันว่า สถานการณ์น้ำปีนี้ไม่เหมือนกับปี 2554 โดยปีนี้น้ำน้อยกว่า และย้ำว่าเขื่อนด้านบนยังกักเก็บน้ำได้ หากเกิดน้ำท่วมพื้นที่ภาคกลางจะเกิดจากปริมาณฝนตกหนักและน้ำรอการระบายเท่านั้น