กต.กัมพูชา ยืนยัน มวลชนเขมรประท้วงที่บ้านหนองหญ้าแก้วเป็นเรื่องชอบธรรม อ้างอยู่มานานก่อนมี MOU 43

กต.กัมพูชา ยืนยัน มวลชนเขมรประท้วงที่บ้านหนองหญ้าแก้วเป็นเรื่องชอบธรรม อ้างอยู่มานานก่อนมี MOU 43

View icon 568
วันที่ 24 ก.ย. 2568 | 12.10 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“ฮุน เซน - ฮุน มาเนต” แชร์แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ยืนยัน “ไทย” ไม่สามารถอ้างสิทธิไล่ชาวกัมพูชา ที่หมู่บ้านเปรยจัน (บ้านหนองหญ้าแก้ว) ได้ อ้างชาวเขมรอยู่มานานก่อนมีการตกลง MOU 43

วันที่ (24 ก.ย.68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แชร์เอกสารแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ตอบโต้ต่อคำกล่าวอ้างของประเทศไทยที่ว่าชาวบ้านเปรยจัน ในกัมพูชา (บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว) ได้บุกรุกดินแดนไทยเพื่อทำการประท้วง

โดยเอกสารระบุว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (23 ก.ย. 68) ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้แถลงว่า ชาวบ้านเปรยจัน ได้บุกรุกเข้าสู่ดินแดนไทย เพื่อทำการประท้วง ฝ่ายไทยจึงต้องบังคับใช้กฎหมายของไทย ทำให้ทางกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา จึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจ้งคำกล่าวอ้างของไทย ที่ทำให้เข้าใจผิดดังต่อไปนี้

ประการที่ 1 ประเทศไทยไม่สามารถอ้างสิทธิ์ในอธิปไตยหรือบังคับใช้กฎหมายกับชุมชนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการหยุดยิง ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะงดเว้นกิจกรรมที่ยั่วยุก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายไทยโดยมิชอบในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และสิ่งสำคัญคือต้องเน้นย้ำว่าชาวบ้านที่หมู่บ้านเปรยจัน ต.โอเบยจัน จ.บ็อนเตียย์เมียนเจ็ย ของกัมพูชา อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มานานแล้ว ก่อนที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU 43) ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ตาม MOU ดังกล่าวนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาสถานะเดิมจนกว่างานปักปันเขตแดนจะแล้วเสร็จ ข้อกำหนดในเอกสารอ้างอิงปี พ.ศ.2546 ระบุว่างานปักปันเขตแดนจะประกอบด้วย 5 ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์

ประการที่ 2 การประท้วงโดยชาวบ้านกัมพูชาเป็นเพียงการตอบโต้ต่อการละเมิดสิทธิ์ในทรัพย์สินของพวกเขา หลังจากที่ฝ่ายไทยนำลวดหนามมาล้อมหมู่บ้าน และนำสิ่งกีดขวางมาปิดกั้นทางเข้าบ้านและไร่นาของพวกเขา และสิ่งสำคัญที่จะต้องเปิดเผยคือทีมงานทางเทคนิคของทั้งไทยและกัมพูชา ได้ตกลงกันในเรื่องพิกัดหลักหมุดเขตแดนหมายเลข 43 แล้ว แต่ไม่ได้ตกลงเรื่องพิกัดหลักหมุดเขตแดนหมายเลข 42 ซึ่งเป็นพิกัดที่ตั้งของหมู่บ้านเปรยจัน ดังนั้น การสดงข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดซึ่งแสดงเส้นแบ่งเขตแดนที่ยื่นออกไปจากหลักหมุดเขตแดนหมายเลข 43 ไปยังพิกัดหลักหมุดเขตแดนหมายเลข 42 เพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่าเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในดินแดนไทยจึงเป็นสิ่งที่ “ไม่ถูกต้อง”

ประการที่ 3 แม้จะดูจากเส้นตรงที่บิดเบือนไปจากภาพอินโฟกราฟิกที่ฝ่ายไทยนำเสนอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนไทยได้บุกรุกและครอบครองยึดพื้นที่ไปทำการเกษตรที่ตั้งอยู่บนพรมแดนฝั่งกัมพูชามาเป็นเวลานาน ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของประเด็นชายแดนในส่วนนี้ กัมพูชาจึงได้เรียกร้องให้แก้ไขข้อพิพาทนี้ผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ แทนที่จะพยายามบังคับใช้กฎหมายและอำนาจอธิปไตยของไทยด้วยการบังคับขับไล่ชาวกัมพูชาออกไป

ประการที่ 4 ควรคำนึงไว้ว่าภายใต้กรอบของ MOU43 ทางกัมพูชาได้ยื่นหนังสือคำร้องอย่างเป็นทางการหลายครั้งต่อฝ่ายไทย เพื่อขอให้มีการแก้ไขในพื้นที่ที่มีการละเมิดพรมแดนฝั่งกัมพูชาอย่างถูกต้อง แต่ก็ไม่เป็นผล ความตึงเครียดในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความจำที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งเสริมให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ ให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการปักปันเขตแดนในส่วนนี้อย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับการดำเนินงานของ JBC ตาม MOU43

ประการที่ 5 กัมพูชายืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงต่อเงื่อนไขการหยุดยิงตามที่บันทึกไว้ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป กัมพูชา-ไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม และ 10 กันยายน และการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทางกัมพูชาหวังว่าประเทศไทยจะยึดมั่นตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความจริงใจ โดยหยุดแผนการที่จะขับไล่ชาวกัมพูชาหลายร้อยครอบครัวออกจากบ้านเรือนและที่ดินที่พวกเขาอาศัยมานานหลายทศวรรษ และอนุญาตให้ชาวบ้านที่ถูกขับไล่กลับไปยังบ้านและที่ดินของตนได้ ในขณะที่รอคอยการดำเนินการปักปันเขตแดนโดย JBC ให้แบ่งเขตแดนแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ทางรัฐบาลกัมพูชามุ่งมั่นที่จะหาทางออกข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับไทยโดยสันติ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศผ่านแนวทางที่สันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และในขณะเดียวกันก็ยืดมั่นในจุดยืนที่มีหลักการว่า ชายแดนจะต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วย “กำลัง”