ผอ.ทุ่นระเบิดของกัมพูชา กล่าวหา “ไทย” ยิงเพียงฝ่ายเดียวที่ “ช่องอานม้า” เข้ามาในดินแดนกัมพูชา อ้างทหารกัมพูชาไม่ได้ใช้อาวุธตอบโต้กลับแม้แต่นัดเดียว ตามคำสั่ง “สมเด็จฯ ฮุนเซน”
วันนี้ (28 ก.ย. 68) นายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAA) โพสต์ภาพและข้อความ เมื่อกลางดึก วานนี้ (27 ก.ย. 68) ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ทหารไทยได้ยิงปืนครกเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา ซึ่งเป็นการยิงใส่กัมพูชาก่อนอย่างชัดเจน โดยไม่สามรถโต้แย้งได้ เพราะกองกัมพูชาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลกัมพูชาอย่างเคร่งครัดที่ให้ทหารอดทน และไม่ตอบโต้ และตั้งคำถามว่า “ถ้ามีคนยิงอยู่แค่ฝ่ายเดียว แล้วจะมาเถียงกันได้อย่างไรว่าใครเป็นฝ่ายยิงก่อนหรือยิงหลัง ? คนที่ยิงนั่นแหละคือคนที่ยิงก่อน”
นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้อ้างถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่กล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นคนยิงเพียงฝ่ายเดียว เข้ามายังพื้นที่จังหวัดโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา โดยมีจุดประสงค์คือขยายสมรภูมิ ซึ่งท่าน “สมเด็จฯ ฮุน เซน” ได้แนะนำให้เก็บหลักฐานสำคัญจากการโจมตีของไทยครั้งนี้ไว้
โดยทางหน่วยงานเก็บกู้วัตถุระเบิดของกัมพูชา (CMAC) และกองทัพกัมพูชา ได้เข้าตรวจสอบหลุมระเบิด พบหลุมจากกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. จำนวน 6 หลุม (จากทั้งหมด 21 นัดที่ถูกยิงมา) จากการวิเคราะห์เศษกระสุนพบว่า มีกระสุน 4 ลูกเป็นกระสุนพิษที่บรรจุฟอสฟอรัสขาว (White Phosphorus – WP) และอีก 2 ลูก เป็นกระสุนระเบิดลูกปลาย ซึ่งสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่ากระสุนดังกล่าวผลิตจากประเทศใด และใครคือผู้ใช้อาวุธนั้น และหลักฐานทั้งหมดที่จังหวัดโพธิสัตว์ ได้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่า "ไทย"”คือผู้ยิงเข้ามาในดินแดนกัมพูชา และกองกำลังกัมพูชาไม่ได้มีการใช้อาวุธตอบโต้กลับแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าใครเป็นฝ่ายยิงก่อน
ทั้งนี้ เหตุการณ์การใช้อาวุธปืนครกครั้งล่าสุด ก็เช่นเดียวกัน คือฝ่ายไทยเป็นผู้ยิงก่อน เพราะกัมพูชาไม่ได้มีการใช้อาวุธเลย