เช้านี้ที่หมอชิต - กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ถ้อยแถลงของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ณ นครนิวยอร์ก เมื่อ 27 กันยายน 2568 ตอบโต้คำกล่าวหาของกัมพูชาที่อ้างว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน และตัวเองคือเหยื่อ
นี่คือคำกล่าวหาที่ทาง นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ใช้เวทีสหประชาชาติ กล่าวหาประเทศเพื่อนบ้าน ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ละเมิดอธิปไตยเราอย่างต่อเนื่อง ใช้กำลังทหารแทนการเจรจาตามกลไกที่ตกลงกันไว้ และที่น่ากังวลคือการบังคับขับไล่ชาวกัมพูชากว่าร้อยคนในดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานหลายทศวรรษ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แม้จะเผชิญกับการยั่วยุเรื่อยมา
กระทั่งล่าสุด เช้าวันที่ 27 กันยายน เกิดเหตุโจมตีในพื้นที่ละเอียดอ่อน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการยั่วยุจากกองกำลังกัมพูชา แต่กลับมากล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ซึ่งกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเด็ดขาด
ด้าน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้กัมพูชาว่า ทำตัวเป็นเหยื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ยังประณามการกระทำที่เป็นการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือเจรจาแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ส่วนหมู่บ้านที่กัมพูชาอยู่ในดินแดนของไทย ชายแดนบ้านหนองจาน-หนองแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ย้ำชัดว่าที่พวกเขาเข้ามาอยู่ได้ เพราะไทยคำนึงถึงมนุษยธรรม จึงเปิดพรมแดนในช่วงปลายยุคทศวรรษ 70 ให้ชาวกัมพูชานับร้อยนับพันหนีร้อนมาพึ่งเย็น หนีภัยสงครามกลางเมืองภายในประเทศกัมพูชา เข้ามาลี้ภัยอยู่ในดินแดนประเทศไทย
ภายหลังนายสีหศักดิ์ กล่าวในเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ที่นครนิวยอร์ก ทำให้กระแสโซเชียลในประเทศไทย ต่างชื่นชมกับการทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างมาก
ด้าน อาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ก็ชื่นชมการกล่าวสุนทรพจน์ของนายสีหศักดิ์ ถือเป็นความสามารถและประสบการณ์เฉพาะตัวที่พูดได้ครบทุกเรื่องทุกประเด็น และใช้เวทีสหประชาชาติสกัดกั้นกัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริงที่อาจมีผลต่อท่าทีของกัมพูชาในอนาคต
อาจารย์ปณิธาน ยังย้ำด้วยว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย ช่วงตุลาคมนี้ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ควรหารือให้ได้ข้อยุติถึงแผนปฏิบัติการยุติความขัดแย้ง เพราะเมื่อพบกันแล้วจะได้ประกาศใช้แผนดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม
เวทีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ 80 (UNGA80) ควรเป็นพื้นที่ประกาศวิสัยทัศน์ความร่วมมือของโลก แต่กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นโรงละครที่กัมพูชาหยิบเอาบทบาท “ผู้ถูกกระทำ” มาสวมใส่เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากประชาคมโลก
รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ปรัก สุคนธ์ เล่นบท “ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
อ่านคำปราศรัยด้วยน้ำเสียงรันทดถึงความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชา เล่าถึงการฟื้นฟูประเทศและการส่งทหารรักษาสันติภาพไปทั่วโลก พร้อมกล่าวหาว่าไทยคือผู้รุกราน ไล่ที่ชาวกัมพูชา ใช้แผนที่ฝ่ายเดียว และเปิดฉากยิงโดยไม่ถูกยั่วยุ ทุกถ้อยคำของรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรเต็มไปด้วยการสร้างภาพประเทศเล็กที่ถูกรังแก
แต่หมัดตรงที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว สวนกลับแบบไม่อ้อมค้อม ถือเป็นการตัดสินใจไม่ใช้ภาษาการทูตแบบประเพณีนิยมสักครั้งซัดกลับว่า
“เช้านี้ ผมตั้งใจจะพูดเรื่องอนาคตที่สร้างสรรค์ แต่ต้องเขียนสุนทรพจน์ใหม่ เพราะคำกล่าวอันน่าเสียใจที่สุดจากเพื่อนร่วมงานกัมพูชา กัมพูชายังคงแสดงตนเป็นเหยื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บิดเบือนข้อเท็จจริงให้ผิดเพี้ยน มันคือการบิดเบือนความจริงอย่างสิ้นเชิง”
สีหศักดิ์ชี้ว่า “เหยื่อที่แท้จริง” คือทหารไทยที่เสียขาจากกับระเบิด เด็กนักเรียนที่โรงเรียนถูกถล่มด้วยกระสุน และชาวบ้านที่กำลังซื้อของในตลาดแต่ถูกจรวดกัมพูชาตกใส่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนใหม่ของไทย เล่าด้วยความผิดหวังว่าเพียงวันก่อนหน้านี้ตนได้พบกับรัฐมนตรีกัมพูชาในห้องโถงเดียวกันของยูเอ็น พูดคุยเรื่องสันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือ แต่สิ่งที่กัมพูชาพูดบนเวทีกลับ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “ข้อกล่าวหาของกัมพูชาเหลวไหลเสียจนกลายเป็นการเยาะเย้ยความจริง (make mockery of the truth)”
สะท้อนถึงความอดทนที่ล้นเกินขีดจำกัด ที่น่าขันคือ หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างว่าอยู่ในเขตของตนนั้น แท้จริงแล้วตั้งอยู่บนดินแดนไทยตั้งแต่ต้น และเกิดขึ้นเพราะไทยเปิดชายแดนด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมในทศวรรษ 1970 เพื่อให้ชาวกัมพูชาหนีภัยสงครามเข้ามาพักพิง “เราทำด้วยความเมตตาและหลักการมนุษยธรรม” คุณสีหศักดิ์ย้ำ แต่ความเอื้อเฟื้อนั้นกลับถูกตีความเป็นสิทธิ์ในดินแดน
หรือนี่คือการแสดงละครเหยื่อของเขมร เรียกร้องความเห็นใจเพื่อปกปิดการยั่วยุ ใช้ผ้าคลุมสันติภาพเพื่อซ่อนบทบาทผู้บุกรุก
บนเวทียูเอ็น กัมพูชาอาจหวังว่าเสียงสะอื้นจะก้องไกลกว่าข้อเท็จจริง แต่ในสายตาของผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์ชายแดนไทย-กัมพูชา คำกล่าวของปรัก สุคนธ์ ก็ไม่ต่างอะไรจาก การแสดงละครที่ใช้เหยื่อปลอม ๆ มาเรียกความสงสาร
ขณะที่เบื้องหลังยังคงเดินเกมยั่วยุเหมือนเดิม “เหยื่อ” กับ “ผู้ยั่วยุ” สิงอยู่ในตัวละครเดียวกันได้จริง ๆ หรือ?