โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” และ “ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”
พร้อมด้วยของกลาง
1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) น้ำหนักรวมประมาณ 502 กิโลกรัม
2. วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (คีตามีน) ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนักรวมประมาณ 600 กรัม
3. เครื่องบรรจุภัณฑ์สูญญกาศ จำนวน 1 เครื่อง พร้อมถุงพลาสติกและอุปกรณ์บรรจุภัณฑ์จำนวนหลายรายการ
4. อาวุธปืนสั้น ชนิดลูกโม่ 6 นัด ยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสัน ด้ามสีดำ ขนาด.38 นิ้ว จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 9 นัด
5. เรือสัญชาติไทยชื่อ อิลิกเซอร์ และของกลางรายการอื่นๆ อีกหลายรายการ

โดยสามารถจับกุมได้ที่ บนเรือสัญชาติไทยชื่อ “อิลิกเซอร์ (ELIXIR)” ประเภทเรือคนเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้บรรทุกคนโดยสาร ตัวเรือสีน้ำเงิน ทำด้วยไม้ เก๋งเรือสองชั้นสีขาว ชักธงไทย จอดออยู่บริเวณพิกัด ละติจูด 7° 49.041 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 98° 21.210 ลิปดาตะวันออก ห่างจากปลายท่าเรือฉลอง 360 เมตร ตั้งอยู่ที่ ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ (24 ก.ย.68) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือสัญชาติไทยชื่อ “อิเล็กเซอร์ (ELIXIR)” จอดอยู่บริเวณท่าเรือฉลอง ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต โดยเรือลำดังกล่าวได้แล่นออกมาจาก จ.ระนอง ติดลมมรสุมบริเวณอ่าวฉลอง ใกล้กับท่าเรือฉลอง ตั้งแต่วันที่ (22 ก.ย.68) ที่ผ่านมา
โดยเรือดังกล่าวมีลักษณะผิดปกติจากเรือทั่วไป คือ ไม่แสดงการเข้าออกปกติ, บุคคลในเรือมีท่าทีพิรุธ ลุกลี้ลุกลน คล้ายจะกระทำการบางอย่าง ซึ่งกระทำการน่าสงสัยว่าน่าจะมีสิ่งผิดกฎหมาย หรือยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ภายในเรือ

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนทราบว่าไต๋ก๋งเรือลำดังกล่าว คือ นายอภิชาติ และมีลูกเรือเป็นชายไม่ทราบชื่อ อีก 3 คน รวมบุคคลที่อยู่บนเรือดังกล่าวรวม 4 คน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่พบว่า เมื่อวันที่ (24 ก.ย.68) ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.00 น เรือลำดังกล่าวมีการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงปริมาณจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ชุดสังเกตการณ์คาดว่าเรือกำลังจะออกเดินทางออกจากท่าเรือในเร็ว ๆ นี้
เมื่อทราบดังนั้นจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น เพื่อประกอบกำลังประชุมวางแผนการเข้าทำการตรวจสอบเรือลำดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ (24 ก.ย. 68) ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันประชุมวางแผนเพื่อเข้าตรวจสอบเรือคันดังกล่าว ณ สถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต การปฏิบัติการได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุดปฏิบัติการ ใช้เรือจำนวน 3 ลำ โดย ชุดปฏิบัติการเรือลำที่หนึ่ง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ ปป.5 สปป. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ กก.8 บก.รน. ชุดปฏิบัติการเรือลำที่สอง ประกอบด้วย ศรชล. ภ.3 ชุดปฏิบัติการเรือลำที่สาม ประกอบด้วย ทร.ภ.3
จากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทั้งสามชุดปฏิบัติการได้เดินทางออกจากท่าเรือรัษฎา ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต พร้อมกัน จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.40 น. ได้พบเรือสัญชาติไทยชื่อ “อิลิกเซอร์ (ELIXIR)” จอดอยู่ที่จอดออยู่บริเวณพิกัด ละติจูด 7° 49.041 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 98° 21.210 ลิบตาตะวันออก ห่างจากปลายท่าเรือฉลอง 360 เมตร เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำเรือเข้าเทียบทางด้านท้ายเรือของเรือลำดังกล่าวและแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ขอเข้าทำการตรวจสอบ โดยพบนายสุรพลฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) กับนายอนันต์ฯ (ผู้ต้องหาที่ 2) นั่งอยู่บริเวณท้ายเรือ และพบนายวิชาญฯ (ผู้ต้องหาที่ 3) อยู่ในห้องชั้น 1 ทางกาบซ้ายเรือห้องสุดท้ายนับจากหัวเรือ แต่ไม่พบนายอภิชาติฯ (ไต๋ก๋งเรือ)
จากการสอบถามนายสุรพล และนายอนันต์ ให้การว่านายอภิชาติ น่าจะอยู่ที่สะพานเดินเรือ เจ้าหน้าที่จึงได้เดินดูบริเวณรอบ ๆ เรือ โดยพบว่านายอภิชาติ (ผู้ต้องหาที่ 4) ได้กระโดดหนีลงไปในทะเลอยู่ตรงบริเวณหัวเรือ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้กระโดดน้ำเข้าทำการช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือ ซึ่งผู้ต้องหาอยู่ในสภาพหมดสติ เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันทำการ ปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) ก่อนนำส่งโรงพยาบาลฉลอง ซึ่งภายหลังผู้ต้องหาที่ 4 ถึงแก่ความตาย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการตรวจค้นบนเรือทั้งบริเวณภายในเรือ ผลการตรวจสอบชั้น 2 ของเรือ พบวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) พบที่บริเวณใต้คันเกียร์ห้องสะพานเดินเรือ วางอยู่บนชั้นวางของด้านหลังห้องสะพานเดินเรือ, พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ต้องหาที่ 2 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ต้องหาที่ 3 อยู่ที่ห้องนายท้ายเรือ ในส่วนของผลการตรวจสอบชั้น 1 ของเรือ พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ต้องหาที่ 1 อยู่ในกระเป๋าสะพายข้างวางบนที่นอนภายในห้องทางกาบซ้ายห้องสุดท้ายนับจากหัวเรือ
และในส่วนของผลการตรวจสอบใต้ท้องเรือ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมตเอมเฟตามีนหรือไอซ์) จำนวนทั้งสิ้น 20 กระสอบ และพบอาวุธปืนสั้นฯ อยู่ในห้องอับเฉาทางกาบขวาเรือ และ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมตเอมเฟตามีนหรือไอซ์) บริเวณใต้ท้องเรือ รวมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) ที่ยึดได้ทั้งหมดน้ำหนักรวมประมาณ 502 กิโลกรัม
ซึ่งจากการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดของกลาง (ไอซ์) และ (คีตามีน) ต่อหน้าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ผลยืนยันได้ว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) และเป็นวัตถุออกฤทธิ์ฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (คีตามีน) จริง เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งแก่ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนทราบว่าต้องถูกจับกุม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่าและสิทธิให้ทราบ
จากนั้นจึงนำตัวผู้ถูกจับทั้ง 3 คน พร้อมของกลางทั้งหมดมายังสถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจน้ำ เพื่อทำบันทึกจับกุม จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง กก.5 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป