สื่อสหรัฐฯ เผย “โดนัลด์ ทรัมป์” จะเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า เจ้าตัวต้องได้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพ ไทย-กัมพูชา
วันนี้ (8 ต.ค. 68) สำนักข่าวการเมือง “POLITICO” ของสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวนิรนาม 3 รายที่ใกล้ชิดกับแผนดังกล่าวว่า ทำเนียบขาวได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของมาเลเซียว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยินดีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ระหว่างวันที่ 26–28 ตุลาคม ก็ต่อเมื่อ “ทรัมป์” ได้รับอนุญาตให้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงข้างเคียงของการประชุมประชุมสุดยอดอาเซียน
หากผู้นำสหรัฐฯ ได้รับการอนุมัติ การประชุมครั้งนี้จะกลายเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ “ทรัมป์” ได้แสดงบทบาทในสิ่งที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็น “บทบาทชี้ขาด” ของเจ้าตัวในการเข้ามายุติความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ที่ยืดเยื้อมา 5 วัน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และการอพยพของประชาชนจากทั้งสองประเทศจำนวนมาก
โดยการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดขึ้นช่วงปลายเดือนตุลาคม พ.ศ.2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้นำภูมิภาคจะหารือเพื่อกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ในการผลักดันการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เสริมสร้างความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ส่งเสริมการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืน รวมถึงเปิดเวทีแลกเปลี่ยนกับหุ้นส่วนภายนอกในประเด็นระดับโลก
ก่อนหน้านี้ ข้อตกลงหยุดยิงของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และมีจีนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังและยังมีมาเลเซียเป็นผู้ช่วยประสานงาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมนั้น ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดบริเวณชายแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวช่วยรักษาชีวิตผู้คนไว้ได้จำนวนมาก และคาดว่าจะนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งรายงานเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในกัมพูชา
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางกัมพูชาได้เสนอชื่อ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ อย่างเป็นทางการ โดยอ้างถึงบทบาทสำคัญของ “ทรัมป์” ในการยุติความตึงเครียดชายแดน กัมพูชา-ไทย ครั้งล่าสุด
โดยนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงคณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์ โดยยกย่อง “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่า มีภาวะผู้นำทางการทูตที่โดดเด่น และให้เครดิตว่าเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการหยุดยิงโดยทันที และปราศจากเงื่อนไขระหว่างกัมพูชาและไทย และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่อาจสร้างความหายนะได้
