รพ.ดอนสัก ออกแถลงการณ์ชี้แจงเคสผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ปอดอักเสบ เสียชีวิต ยืนยันให้การรักษาเต็มที่ ปรับยาปฏิชีวนะ ให้ออกซิเจนแรงดันสูง จากไทม์ไลน์พบญาติไม่ยอมใส่ท่อช่วยหายใจ รอนาน 30 นาที ระหว่างส่อต่อไป รพ.สุราษฎร์ฯ คนไข้หัวใจหยุดเต้น ต้องนำกลับมาปั๊มหัวใจกู้ชีพแต่ไม่เป็นผล ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวมา ณ ที่นี้ด้วย
เคสไข้หวัดใหญ่ปอดติดเชื้อเสียชีวิต ญาติโวยหมอ ล่าสุดวานนี้ (7 ต.ค.68) โรงพยาบาลดอนสัก ออกแถลงการณ์โรงพยาบาล ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบติดเชื้อ โดยระบุว่า โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อการจากไปของผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และปอดอักเสบติดเชื้อ ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลโรงพยาบาลคอนสัก เมื่อวันที่ 2 ต.ค.68
รพ.ดอนสักขอชี้แจงกระบวนการดูแลรักษาผู้ป่วยดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
อาการเบื้องต้น : ผู้ป่วยมา รพ.ดอนสักเพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อวันที่ 2 ต.ค.68 โดยหลังการตรวจและประเมินโดยทีมสหวิชาชีพพบว่ามีอาการไข้ ไอ และหายใจเหนื่อยหอบ 2 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจวัดพบค่าออกชิเจนในเลือดต่ำกว่ามาตรฐาน หลังจากประเมินอาการโดยทีมสหวิชาชีพ พบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีโรคประจำตัวเดิม คือ โรคหลอดลม โป่งพอง (Bronchicctasis) และมีรอยโรคเก่าที่ปอด ส่งผลให้มีอาการเหนื่อยหอบ และภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ
การช่วยเหลือและการดำเนินการทางการแพทย์ : ผู้ป่วยถูกส่งเข้ารับการรักษาที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินทันที ทีมสหวิชาชีพได้ดำเนินการรักษาโดยการให้ออกซิเจน เจาะเลือด ตรวจเอกซเรย์ปอด ให้สารน้ำ ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) ทางหลอดเลือดดำ และยาต้านไวรัสใช้หวัดใหญ่ ตามแนวทางการรักษาตามมาตรฐาน และเมื่ออาการคงที่ จึงส่งเข้ารักษาต่อในแผนกผู้ป่วยใน วันที่ 2-3 ต.ค.68 ผู้ป่วยยังมีไข้และหายใจเหนื่อย ต้องใช้ออกซิเจนแบบหน้ากากครอบ พบว่า ค่าออกซิเจนยังอยู่ในเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วย
วันที่ 4 ต.ค.68 ช่วงเวรดึก ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยมากขึ้น ค่าออกซิเจนลดลง แพทย์จึงส่งเอกซเรย์ปอดใหม่พบว่ามีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาใช้ออกซิเจนแบบแรงดันสูงผ่านเครื่อง (High FlowNasal Cammula (HFNCJ) และได้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรมจาก รพ.กาญจนดิษฐ์ ตามแนวทางการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และทาง รพ.กาญจนดิษฐ์ได้ให้การรักษาโดยเปลี่ยนยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไปรับยาจาก รพ.กาญจนดิษฐ์ เพื่อนำมาให้กับผู้ป่วย
และขณะนั้น รพ.กาญจนดิษฐ์ หอผู้ป่วยวิกฤตไอชียู เตียงเต็ม ได้แจ้ง รพ.ดอนสัก ว่า ถ้าอาการผู้ป่วยเหนื่อยมากขึ้น จำเป็นจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจและส่งต่อผู้ป่วยไปยัง รพ.สุราษฎร์ธานี โดยขณะนั้นผู้ป่วยและญาติยังไม่ประสงค์ให้ใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากครอบครัวของผู้ป่วยเคยมีประสบการณ์และทัศนคติที่ไม่ดีการใส่ท่อช่วยหายใจ หลังจากเปลี่ยนยาฆ่าเชื้อแล้ว ผู้ป่วยไข้ลดลง
วันที่ 5 ต.ค.68 ผู้ป่วยไข้ลดลง ยังคงมีอาการเหนื่อย ซึ่งต้องใช้ออกชิเจนแรงดันสูงผ่านเครื่อง HFNC ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์การรักษา และทีมสหวิชาชีพดูแลอย่างใกล้ล้ชิดลอดเวลา
ต่อมาเวลา 02.45 น. วันที่ 6 ต.ค.68 ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น อัตราการหายใจ 34-36 ครั้ง/นาที ค่าออกซิเจนในเลือดลดลงอยู่ระหว่าง 75-88% แพทย์พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ และส่งต่อไปรับการรักษาที่ รพ.สุราษฎร์ธานี
เวลา 02.50 น. ถึง 03.20 น. ผู้ป่วยและญาติยังไม่ประสงค์ใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งขณะนั้นแพทย์และพยาบาลได้ให้ข้อมูลถึงข้อดีของการใส่ท่อช่วยหายใจ และ แผนการรักษาต่อไป
เวลา 03.20 น. ผู้ป่วยและญาติยินยอมให้ใส่ท่อช่วยหายใจ
เวลา 03.58 น. รพ.ดอนสัก ได้ประสาน รพ.สุราษฎร์ธานี เพื่อส่งต่อเรียบร้อย แต่เนื่องจากผู้ป่วยต้องได้รับการแยกห้องตามแนวทางควบคุมการติดเชื้อ ทาง รพ.สุราษฎร์ธานี ได้ขอเวลาเตรียมความพร้อมสำหรับรับส่งต่อผู้ป่วย และจะโทรศัพท์ประสานกลับมา รพ.ดอนสัก อีกครั้งเมื่อจัดเตรียมสถานที่และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในของ รพ.สุราษฏร์ธานี เรียบร้อย
เวลา 03.58 น. ถึง 05.50 น. ระหว่างรอ รพ.สุราษฎร์ธานี ติดต่อกลับ แพทย์และพยาบาบาลไม่ได้นิ่งนอนใจให้การดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิตตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน และติดต่อประสานงานกับทาง รพ.สุราษฎร์ธานี อย่างต่อเนื่อง
เวลา 05.50 น. รพ.สุราษฏธานี ได้ตอบกลับให้ส่งต่อผู้ป่วยได้
เวลา 06.00 น. ทีม รพ.ดอนสัก ส่งต่อผู้ป่วยพร้อมพยาบาล 2 คนออกเดินทาง
เวลา 06.10 น. ระหว่างนำส่งผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้น ทีมสหวิชาชีพจึงรีบนำผู้ป่วยกลับมาที่ รพ.ดอนสัก เพื่อทำการฟื้นคืนชีพ (ปั๊มหัวใจ) เป็นเวลากว่าชั่วโมง ซึ่งไม่ตอบสนองหลังให้การช่วยเหลือฟื้นคืนคืนชีพ และได้แจ้งให้ญาติทราบ พร้อมพิจารณายุติการรักษาโดยทีมเพทย์อย่างเป็นทางการ
รพ.ดอนสัก ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัว ต่อการจากไปของผู้ป่วย และขอยืนยันยันว่าได้ให้การดูแลรักษาอย่างเต็มความสามารถ ตามมาตรฐานวิชาชีพตลอดระยะเวลาการดูแลผู้ป่วย
สำหรับเคสนี้หลัง รพ. ออกแถลงการณ์ ในโลกออนไลน์มีผู้เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก