Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 8 ต.ค.68
1.“ทรัมป์” หวังเป็น ปธ.พิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพ ไทย-กัมพูชา
เว็บไซต์ "โพลิติโก" (Politico) หนังสือพิมพ์ออนไลน์สายการเมืองของสหรัฐฯ รายงานอ้างแหล่งข่าว 3 คน ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยินดีที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ ตราบใดที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้แสดงออกถึงความพยายามในการมีบทบาทเป็นผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาค
โดยทำเนียบขาวได้ตั้งเงื่อนไขการเดินทางมาร่วมการประชุมของประธานาธิบดีทรัมป์ ไปยังรัฐบาลมาเลเซียว่า ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการเป็นประธานในพิธีลงนาม "ข้อตกลงสันติภาพ" ระหว่างไทยและกัมพูชา ในเวทีนอกรอบของประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งสื่อฯ ของสหรัฐฯ ระบุว่า ทรัมป์หวังสร้างภาพลักษณ์บนเวทีนานาชาติในฐานะ "หัวหน้าผู้รักษาสันติภาพ" (Peacemaker-in-chief)
นอกจากนี้ "โพลิติโก" ยังรายงานว่า ทำเนียบขาวยังส่งคำขอที่เฉพาะเจาะจงให้ผู้จัดการประชุมสุดยอดด้วยว่า ไม่ให้เจ้าหน้าที่จีนเข้าร่วมพิธีดังกล่าว ซึ่งการกีดกันจีนออกไปจะช่วยให้ทำทรัมป์กลายเป็นจุดสนใจ ขณะเดียวกันก็ลดความสำคัญของความพยายามของจีนในการมีส่วนเป็นตัวกลางระหว่างไทยและกัมพูชาด้วย
ด้านสำนักข่าว "เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์" (South China Morning Post) หนังสือพิมพ์รายใหญ่ของฮ่องกง รายงานว่า ทรัมป์ต้องการสร้างภาพ เพื่อหวังเพิ่มโอกาสคว้ารางวัลโนเบลสันติภาพ
2.เวียดนามยังเผชิญน้ำท่วมใหญ่ จากพายุ “แมตโม”
หลายจังหวัดทางตอนเหนือของเวียดนามยังคงต้องเผชิญกับฝนตกหนัก จากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น "แมตโม" ซึ่งแม้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่ก็ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมรุนแรง ประชาชนหลายพันคนติดค้างอยู่ตามบ้านเรือน หลายชุมชนจมอยู่ใต้น้ำ ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง ระบบโทรคมนาคมถูกตัดขาด
โดยเฉพาะที่จังหวัดท้ายเงวียน (Thai Nguyen) ระดับน้ำในแม่น้ำก๋าวไหล ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่รอบเมืองจนเข้าสู่ภาวะวิกฤต ถนนกลายเป็นลำคลองประชาชนต้องใช้เรือในการสัญจรแทนรถยนต์ ล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 4 คน ส่วนที่กรุงฮานอยฝนตกหนักและฟ้าคะนองข้ามคืน คาดว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายจนถึงเช้าพรุ่งนี้ (9 ต.ค.)
3.การบินสหรัฐฯ ป่วน หลัง “ชัตดาวน์” หน่วยงานรัฐ
ความขัดแย้งเรื่องการจัดสรรงบประมาณระหว่างพรรครีพับลิกัน ฝ่ายรัฐบาล กับพรรคเดโมแครต ฝ่ายค้าน จนนำมาซึ่งภาวะ "ชัตดาวน์" หรือการปิดหน่วยงานของรัฐบาลตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น สร้างความปั่นป่วนให้กับสนามบินหลายแห่งในสหรัฐฯ เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศปฏิบัติงานเพียงพอ
สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ระบุว่า สนามบินหลายแห่ง อาทิ เดนเวอร์, ฮิวสตัน, ลาสเวกัส, แนชวิลล์, แดลลัส, ชิคาโก และนวร์ก มีเที่ยวบินล่าช้าจำนวนมากเป็นวันที่สองติดต่อกันแล้ว โดยวานนี้ (7 ต.ค.) มีเที่ยวบินล่าช้ามากกว่า 3,000 เที่ยวบิน ส่วนวันจันทร์ที่ผ่านมา ล่าช้ากว่า 4,000 เที่ยวบิน
ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินประมาณ 13,000 คน และเจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยในการขนส่ง (TSA) ประมาณ 50,000 คน ที่ยังคงทำงานแม้ไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงการ "ชัตดาวน์" โดยจะได้รับเงินค่าจ้างบางส่วนในวันที่ 14 ตุลาคม สำหรับงานที่ทำก่อนเกิดการปิดหน่วยงานรัฐ
4.ประชาชนแตกตื่น ! หนีแผ่นดินไหว 6.6 ที่ปากัวนิวกินี
สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) รายงานว่า เมื่อเวลาราว 21 นาฬิกาวานนี้ (7 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นของปาปัวนิวกินี เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.6 โดยมีจุดศูนย์กลางห่างจากเมืองเลอา (Lae) เมืองใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ไปราว 26 กิโลเมตร ซึ่งแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ไกลถึงกรุงพอร์ตมอร์สบี (Port Moresby) ขณะที่ ประชาชนจำนวนมากพากันแตกตื่นรีบหนีออกนอกอาคาร แต่เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรง รวมทั้งไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทางการเตือนให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก
ทั้งนี้ ปาปัวนิวกินีตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่เรียกว่า "วงแหวนแห่งไฟ" (Ring of Fire) ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่มักเกิดแผ่นดินไหวขึ้นบ่อยครั้ง โดยเมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ในจังหวัดเซปิกตะวันออก (East Sepik) ทำให้มีบ้านเรือนเสียหายกว่า 1,000 หลัง และมีผู้เสียชีวิต 3 คน
5.มีเด็กเสียชีวิต-พิการ 61,000 คน ปม อิสราเอล-ปาเลสไตน์
สำนักข่าว “ซินหัว” รายงานว่า “ริคาร์โด ปิเรส” โฆษกของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูนิเซฟ” (UNICEF) กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า ความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ตลอดระยะเวลา 2 ปี ส่งผลให้มีเด็ก ๆ เสียชีวิต หรือพิการแล้วประมาณ 61,000 คน
โดยจะมีเด็กเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 1 คน ในทุก ๆ 17 นาทีโดยเฉลี่ย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้ เด็ก ๆ เหล่านี้ต้องทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นเวลานานเกินไปแล้ว พวกเขาเผชิญกับความโหดร้ายที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ไม่ควรต้องประสบพบเจอหรือใช้ชีวิตอยู่กับมัน
นอกจากนี้ โฆษกของยูนิเซฟ ยังชี้ให้เห็นว่า มีเด็ก 1 ใน 5 คนในกาซาคลอดก่อนกำหนด แต่กลับขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอด โดยมีรายงานว่าเด็กหลายคนจำเป็นต้องใช้หน้ากากออกซิเจนร่วมกันเพื่อเอาชีวิตรอด