เวลา 13.08 น. วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จแทนพระองค์ ไปยังอาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567 เป็นวันสุดท้าย
โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ารับพระราชทานปริญญาปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 2 คน, ผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตรและเครื่องหมายเกษตราภิชาน 1 คน รวมทั้ง ดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะประมง คณะวนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาลัยการชลประทาน เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร รวม 2,796 คน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายขับเคลื่อนการเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ร่วมแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศของประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายต่อยอดจากมหาวิทยาลัยสีเขียว สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม ภายในปีคริสตศักราช 2035 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว อันดับที่ 1 ของไทย 4 ปีซ้อน ในปีคริสตศักราช 2021-2024 และอยู่ในอันดับที่ 38 มหาวิทยาลัยสีเขียวของโลก
ในการนี้ พระราชทานพระโอวาทความว่า "เมื่อสามวันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พูดกับบัณฑิตในที่ประชุมนี้ เรื่องวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คือจะต้องตั้งใจประกอบกิจการงานให้สำเร็จผลเป็นประโยชน์แท้และยึดมั่นในคุณธรรมความสุจริต โดยได้ยกคุณธรรม 2 ประการมาให้บัณฑิตได้พิจารณา คือ ความกตัญญู และความมัธยัสถ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้แต่ละคนสามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างชีวิตและกิจการงานให้มีความเจริญมั่นคงได้
ในวันนี้ ใคร่จะกล่าวเพิ่มเติมแก่ท่านทั้งหลาย ถึงปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง อันจะนำมาซึ่งความเจริญมั่นคงในชีวิตและกิจการงานของแต่ละบุคคล ปัจจัยดังกล่าวนั้น ก็คือ ความเจริญมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นที่อยู่ที่อาศัย สร้างตัวสร้างฐานะของเราทุกคนนั่นเอง หากสังคมและประเทศชาติไม่มีความวัฒนาผาสุก แต่ละคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ก็คงยากที่จะรักษาความผาสุกมั่นคงของตนเองไว้ได้ บัณฑิตผู้ปรารถนาจะบรรลุเป้าหมายในทางที่ดีที่เจริญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมกันพัฒนาชาติบ้านเมือง ให้มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้น โดยนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ และคุณธรรมความดีที่แต่ละคนมีอยู่ มาประสานส่งเสริมกัน เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ ถ้าทำได้ดังนี้ ชีวิตและกิจการงานของทุกคน ก็จะมีความเจริญมั่นคงอย่างแท้จริงและยั่งยืน เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างบริบูรณ์"