สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจ ดังนี้

View icon 260
วันที่ 16 ต.ค. 2568 | 20.06 น.
ข่าวในพระราชสำนัก
แชร์
เวลา 10.00 น. วันนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคารอัครราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พระราชทานพระวโรกาสให้ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการสำนักองค์ประธาน นำพลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ เฝ้า รับพระราชทานพระนโยบายและกราบทูลถวายรายงานถึงแนวทาง และการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน "กองทุนหทัยทิพย์" ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ ที่ทรงจัดตั้งขึ้น และทรงเป็นประธานกรรมการบริหารกองทุน

ในการนี้ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กราบทูลถวายรายงานแผนการดำเนินงานของ กองทัพไทย โดยได้น้อมนำพระนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนี้ แผนที่การสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา, จุดที่สามารถก่อสร้างรั้วชายแดน และขั้นตอนการดำเนินการ และเรื่องแบบของการก่อสร้างรั้วชายแดน ถนนตรวจการณ์ และบังเกอร์บุคคล

จากนั้น พลเอก ชิดชนก นุชฉายา เสนาธิการทหาร, พลเอก ศราวุธ จันทร์พุ่ม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา, พลโท ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร และพลโท จุมภฏ นุรักษ์เขต เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กราบทูลถวายรายงานแผนการดำเนินงาน เรื่อง แผนที่การสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีความยาวรวม 798 กิโลเมตร แบ่งโดยใช้สภาพภูมิประเทศตามธรรมชาติ และได้ปักหลักเขตแดนไว้อีก 74 หลัก เริ่มจากหลักเขตแดนที่ 1 ที่อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และปักหลักต่อไปทางทิศตะวันตกไปทางจังหวัดสุรินทร์, บุรีรัมย์, สระแก้ว, จันทบุรี และสิ้นสุดที่หลักเขตแดนที่ 73 อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยหลักเขตแดนแต่ละหลักจะปักไปตามลักษณะภูมิประเทศ

สำหรับบริเวณที่วางแผนจะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52-59 ในอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ติดต่อกับอำเภอกอมเรียง จังหวัดพระตะบอง ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยจะกำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก ตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 52 ถึง 59 รวม 8 หลัก ระยะทางรวมประมาณ 8.4 กม. และทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน    

ในส่วนแผนการดำเนินงานจุดที่สามารถก่อสร้างรั้วชายแดน และขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเห็นชอบให้สร้างรั้วในบริเวณที่ตกลงเรื่องเขตแดนได้ ในพื้นที่ที่เหมาะสม รูปแบบรั้วที่จะก่อสร้างให้มีความเหมาะสมตามสภาพภูมิประเทศ ทั้งนี้ มอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทยรับผิดชอบในการพิจารณา

จุดที่จะดำเนินการสร้างรั้วตามที่กรมแผนที่ทหารเสนอนั้น คือ บริเวณหลักเขตแดนที่ 52-59 อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยจะเริ่มดำเนินการบริเวณหลักเขตแดนที่ 52-54 

ในส่วนเรื่องการก่อสร้างรั้วชายแดน ออกแบบให้มีคุณลักษณะคงทน ถาวร สามารถป้องกันการบุกรุกทำลาย รื้อถอน หรือการลักลอบข้ามแดน ทั้งการขุดลอดและการปีนข้าม เป็นรั้วสูง 3.50 เมตร ครึ่งล่างเป็นคอนกรีตสำเร็จรูปอัดแรง ครึ่งบนเป็นตะแกรงเหล็กชุบอลูซิงค์ มีความทนทานป้องกันสนิมได้ 80 ปี ด้านบนวางลวดหนามหีบเพลง เส้นผ่านศูนย์กลาง 45 เซนติเมตร ราคากิโลเมตรละ 7,360,000 บาท และมีการก่อสร้างถนนตรวจการณ์ ผิวจราจรลูกรัง กว้าง 5 เมตร ราคา กิโลเมตรละ 1,300,000 บาท รวมราคาก่อสร้าง ทั้งรั้วและถนน กิโลเมตรละ 8,660,000 บาท

บังเกอร์บุคคล ผลิตด้วยคอนกรีตคุณภาพสูง เป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูป สูง 2.1 เมตร กว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร ผนังหนา 15 เซนติเมตร ผ่านการทดสอบด้วยกระสุน และระเบิดขนาดต่าง ๆ แล้ว ผิวบังเกอร์ได้รับความเสียหายเพียงรอยสะเก็ดประมาณ 2.5 เซนติเมตร ภาพรวมผลการทดสอบสามารถต้านทานแรงกระสุนและระเบิดได้เป็นอย่างดี ราคาพร้อมติดตั้ง 175,000 บาท ต่อ 1 หลัง

โอกาสนี้ ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้กองทัพไทยดำเนินการได้ทันที ด้วยทรงห่วงใยในความปลอดภัย คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ด้านความมั่นคง ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

กองทุนหทัยทิพย์ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนรวมพลังของคนไทยทั้งชาติเพื่อยกระดับความปลอดภัย และสร้างความมั่นคงสู่ชายแดนอย่างยั่งยืนโดยเร็ว

สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อสนับสนุนการสร้างกำแพงและบังเกอร์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา กับ "กองทุนหทัยทิพย์" ผ่านธนาคารกรุงเทพ สาขาหลักสี่พลาซ่า ชื่อบัญชี เงินกองทุนหทัยทิพย์ ประเภทบัญชีกระแสรายวัน เลขที่บัญชี 229-3-03266-6 และประเภทบัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่บัญชี 229-4-29977-7 หรือสแกน QR Code ผ่านระบบ e-Donation เงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า หรือสอบถามรายละเอียด สำนักงานกองทุนหทัยทิพย์ ชั้น 1 อาคารวิจัยเคมี สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โทร. 0-2553-8616-19 ในวันและเวลาทำการ 

เวลา 15.28 น. วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดราชโอรสาราม

ในการนี้ ทรงรับผ้าไตรจากเจ้าพนักงานศุภรัต ทรงวางผ้าไตรบนพานแว่นฟ้า ซึ่งตั้งอยู่หน้าอาสน์สงฆ์ใกล้เจ้าอาวาส ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธอนันตคุณอดุลญาณบพิตร พระประธานพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า แล้วทรงหยิบผ้าห่มสำหรับพระประธานที่วางอยู่บนผ้าไตรพระราชทานเจ้าพนักงานภูษามาลา ทรงหยิบผ้าไตรที่พานแว่นฟ้าพาดระหว่างพระกรแล้วประนมพระหัตถ์ผินพระพักตร์สู่พระประธาน ทรงว่า "นะโม ตัสสะฯ" จบ 3 หน แล้วทรงกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน ทรงวางผ้าไตรไว้บนพานแว่นฟ้า ทรงประเคนผ้าไตรและเทียนปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 แล้วถวายเครื่องบริวารพระกฐินแด่พระสงฆ์ผู้ครองผ้าพระกฐิน ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก

วัดราชโอรสาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร โดยเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า มีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมเรียกว่า "วัดจอมทอง" "วัดเจ้าทอง" หรือ "วัดกองทอง" เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฏาราชเจ้า ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงเป็นแม่ทัพคุมพลไปสกัดทัพพม่าทางด่านเจดีย์ 3 องค์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดจอมทอง ภายหลังจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทอง เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระอารามหลวง เมื่อแล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามว่า "วัดราชโอรส" หมายถึง วัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนาขึ้น การตกแต่งวัดส่วนใหญ่เป็นศิลปะแบบจีน แต่ยังคงความงดงามของศิลปกรรมไทยไว้ได้อย่างกลมกลืน เป็นการประยุกต์ศิลปกรรมที่ประณีตและเป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนสถานได้อย่างสง่างาม ปัจจุบัน มีพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช) เป็นเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์และสามเณร รวม 57 รูป

ข่าวอื่นในหมวด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง