เทียบปฏิกิริยาปราบแก๊งคอลฯ ไทย-เกาหลีใต้

View icon 37
วันที่ 17 ต.ค. 2568 | 11.24 น.
ห้องข่าวภาคเที่ยง
แชร์
ห้องข่าวภาคเที่ยง - ปฏิเสธไม่ได้เลย เรื่องความร่วมมือกดดันปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศกัมพูชา ที่เกาหลีใต้เข้าไปกดดัน เพื่อหาทางช่วยเหลือพลเมืองทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ต่างจากของไทยที่มีโจทย์ และท่าบังคับ จนมีความคืบหน้าจำกัดไปหมด

หลังมีข่าวเรื่อง นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ถูกหลอก ถูกลักพาตัว และเสียชีวิตในกัมพูชา จากฝีมือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซนเตอร์ และสแกมเมอร์ ก็ทำให้ประชาชนในประเทศเกาหลีใต้ ออกมาเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้โดยด่วนที่สุด

ผลคือ 10 ตุลาคม เกาหลีใต้ เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชา มาหารืออย่างเป็นทางการ เพื่อท้วงติงการก่อคดีกับชาวเกาหลีใต้ และเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการจริงจังทันที

จากนั้น 15 ตุลาคม เกาหลีใต้ ประกาศห้ามประชาชนเดินทางไปยังบางพื้นที่ของกัมพูชา พร้อมกับส่ง นางคิม จินา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ พร้อมคณะลงพื้นที่ทันที

และเมื่อวานนี้ มีภาพการเจรจาหารือกับ นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพื่อขอให้ส่งตัวชาวเกาหลีใต้ที่เกี่ยวข้องกลับประเทศ และดำเนินคดีอย่างเหมาะสม ซึ่งก็ได้กลับมารวม 59 คน โดยที่ นายฮุน มาเน็ต ขอให้เป็นการจัดการปัญหานี้แบบ "ทวิภาคี" ไม่ขอให้มีประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง มีภาพการลงพื้นที่ไปดูจุดที่เคยเป็นที่ตั้งแก๊งสแกมเมอร์ ที่ตอนนี้ย้ายฐานไปแล้ว 

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน กับที่เกาหลีใต้เดินหน้ากดดันเต็มที่ ไทยก็มีปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์อยู่ทุกวัน พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้น สื่อถามนายกรัฐมนตรี ก็ได้คำตอบแบบไม่ลงลึกว่า มีทีมแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่

แต่จากนั้นไม่นานก็บอกว่า ได้ตั้ง "คณะกรรมการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี" ขึ้นมา มีนายกฯ เป็นประธาน มี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกฯ เข้ามาช่วยกำกับดูแลหน้างานตำรวจอีกแรง แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ให้เห็นอีก

นอกเหนือจากที่ "นายกฯ อนุทิน" ให้สัมภาษณ์หลังจบภารกิจที่ สปป.ลาว ตอบกลับคำพูดของ นายฮุน มาเน็ต ว่า ไทยไม่มีปัญหา ปัญหาของประเทศไทยมีอยู่ที่เดียว แต่ไม่ขอบอกว่าที่ไหน เพราะไม่อยากเพิ่มความขัดแย้ง ที่ตอนนี้กำลังเป็นไปได้ด้วยดี

แม้จะยอมรับได้ว่า สถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับ กัมพูชา-เกาหลีใต้ มีความแตกต่าง ทั้งในเรื่องภูมิประเทศ ความเข้มแข็งของการตอบโต้หากเกิดเรื่องขึ้นกับพลเรือน หรือแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ทางการทูต ที่เปรียบเสมือนโจทย์ท่าบังคับในการแก้ไขปัญหา แต่ขณะเดียวกัน คนที่ติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ก็ยังอยากเห็นรัฐบาลว่าจะมีท่าทีชัดเจนต่อเรื่องนี้อย่างไร

ที่น่าเป็นห่วงคือ จำนวนการก่อคดีอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกในรายการ "ศจีตีคดี" ว่า ตอนนี้จำนวนคดีที่เคยลดลงไป 20% กลับขึ้นมาเท่าเดิม การปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ตำรวจทำหน่วยเดียวไม่ได้ ต้องทำทั้งองคาพยพ ถึงจะเห็นผล

นี่ยังไม่นับถึงเรื่องการฝังรากลึกของกลุ่มทุนสีเทา ที่มากับภาพการลงทุนอย่างสุจริตถูกกฎหมายในบ้านเรา ที่พอเรื่องนี้แดงออกมาแล้ว ก็จะเป็นแรงงกดดันใหญ่ ว่าหน่วยงานรัฐจะจัดการอย่างไร

ด้าน พลเอก วีรชน สุคนธปฏิภาค อดีตรองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายการศจีตีคดีว่า เป็นจังหวะดีที่ตอนนี้นานาชาติหลายประเทศเริ่มออกมาเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือในการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ รัฐบาลไทยควรถือโอกาสนี้แสดงความชัดเจน เพื่อเห็นว่า เราก็มีความตั้งใจในการแก้ปัญหานี้มาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากกัมพูชาเท่าที่ควร แต่ถ้าเราล่าช้าอาจจะทำให้กัมพูชาป้ายสีให้ร้ายไทยได้ กล่าวหาว่าไทยมีส่วนในการกระทำผิด เพราะต้องยอมรับว่ายังมีคนไทยบางส่วนที่ลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา