สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 20 ต.ค.68

สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 20 ต.ค.68

View icon 62
วันที่ 20 ต.ค. 2568 | 17.29 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 20 ต.ค.68

1.โจรกรรมอัญมณีสุดล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ “ลูฟวร์”
เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (19 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นฝรั่งเศส จู่ ๆ ก็มีการแจ้งปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กลางกรุงปารีส อย่างกระทันหัน หลังเปิดให้เข้าไปเพียงไม่นาน ท่ามกลางความงุนงงของนักท่องเที่ยว ต่อมาจึงทราบว่ามีคนร้าย 2 คน บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ โดยใช้รถเครนช่วยขึ้นไปยังระเบียงด้านที่ติดแม่น้ำแซน ก่อนตัดกระจกหน้าต่างเข้าไปตัวอาคาร และทุบกระจกตู้จัดแสดง 2 ตู้ โจรกรรมเครื่องประดับอัญมณีสุดล้ำค่าของจักรพรรดินโปเลียน ในห้องอพอลโล รวม 8 ชิ้น แต่ทำตกไว้ในด้านนอก 1 ชิ้น

คนร้ายใช้เวลาก่อเหตุเพียง 4 นาที ต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกข่มขู่ จากนั้นสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น กลุ่มคนร้ายทั้งหมดที่มี 4 คน หลบหนีไปโดยใช้รถจักรยานยนต์แบบสกูตเตอร์

ที่น่าสังเกตคือคนร้ายไม่แตะต้องเพชรรีเจนต์ น้ำหนัก 140 กะรัต ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ตำรวจจึงสันนิษฐานว่าคนร้ายเป็นมืออาชีพที่รับงานตามใบสั่ง และนักวิเคราะห์ระบุว่า เครื่องประดับที่โจรได้ไปเป็นอัญมณีหายากที่ไม่สามารถนำไปปล่อยขายได้ง่าย ๆ

ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่จัดแสดงเกือบ 73,000 ตารางเมตร ใหญ่กว่าสนามฟุตบอลสิบสนาม สร้างขึ้นเมื่อปี 2089 เพื่อเป็นพระราชวังสำหรับราชวงศ์ฝรั่งเศส จนกระทั่งการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้นในปี 2332 จากนั้นในอีก 4 ปี ถัดมาพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ได้เปิดเป็นหอศิลป์สาธารณะ ปัจจุบันจัดแสดงงานศิลปะมากกว่า 35,000 ชิ้น รวมถึงภาพวาดโมนาลิซาอันโด่งดังของเลโอนาร์โด ดา วินชี และดึงดูดผู้เข้าชมประมาณวันละ 30,000 คน

2.อิสราเอลโจมตีกาซา อ้าง “ฮามาส” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
อิสราเอลเปิดการโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่ฉนวนกาซา โดยมีการโจมตีพื้นที่เป้าหมายกลุ่มฮามาส รวมทั้งผู้บัญชาการภาคสนาม, มือปืน, อุโมงค์ และคลังอาวุธ หลังอ้างว่ากลุ่มฮามาสละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน ด้วยการยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังและเปิดฉากยิงใส่กองกำลังของอิสราเอล ทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย ขณะที่ ฝ่ายปาเลสไตน์รายงานว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน ซึ่งมีเด็กและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่า จะกลับมาทำตามข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งในวันนี้

ขณะที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงหยุดยิงที่เขาเป็นตัวกลางเจรจายังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป และเขาเชื่อว่าผู้นำกลุ่มฮามาสอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้ โดยสมาชิกกลุ่มฮามาสที่กระทำการโดยอิสระจากกลุ่มผู้นำอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีอิสราเอล แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การตอบโต้ของอิสราเอลถือว่าชอบธรรมหรือไม่ ทรัมป์ตอบเพียงว่า เขาต้องกลับไปดูรายละเอียดอีกครั้ง

3.เครื่องบินขนสินค้าไถลรันเวย์ตกทะเล ที่ฮ่องกง
เครื่องบินขนส่งสินค้าลำหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากนครดูไบ เพื่อลงจอดที่สนามบินนานาชาติฮ่องกง ไถลออกนอกรันเวย์ลงสู่ทะเลขณะลงจอด เหตุเกิดช่วงก่อน 4 นาฬิกาวันนี้ (20 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินที่เห็นจมอยู่ในทะเลบางส่วนลำดังกล่าว เป็นเครื่องโบอิง 747 ของสายการบินขนส่งสินค้าและเช่าเหมาลำของตุรกี มีนักบินและลูกเรือรวม 4 คน ได้รับความช่วยเหลือปลอดภัยแล้ว แต่มีผู้เสียชีวิตด้านล่าง 2 คน คาดว่าทั้งคู่อยู่ในรถยนต์ที่อยู่ใกล้กับรันเวย์ที่ถูกเครื่องบินชนก่อนไถลตกทะเล ทำให้รันเวย์ด้านเหนือของสนามบินฮ่องกงถูกปิดใช้งานชั่วคราว ส่วนรันเวย์ส่วนอื่นเปิดให้บริการตามปกติ

4.ทหารเกาหลีเหนือแปรพักตร์ หนีข้ามชายแดนเกาหลีใต้
พันเอก อี ซอง จุน ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะของคณะเสนาธิการร่วมกองทัพเกาหลีใต้เผยว่า ช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ต.ค.) มีทหารเกาหลีเหนือนายหนึ่งแปรพักตร์หลบหนีข้ามชายแดนไปยังฝั่งเกาหลีใต้ ผ่านเขตปลอดทหารที่มีกองกำลังทั้งสองฝ่ายอารักขาอย่างแน่นหนา ก่อนถูกทหารเกาหลีใต้ที่เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของทหารเกาหลีเหนือนายดังกล่าวเข้าควบคุมตัว พร้อมสอบถามเหตุผลว่าเหตุใดจึงแปรพักตร์

ทั้งนี้ การแปรพักตร์ของชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีข้ามพรมแดนถือเป็นความเสี่ยง และผู้หลบหนีส่วนใหญ่มักเดินทางอ้อมผ่านประเทศจีนหรือประเทศที่สามอื่น ๆ ก่อนเดินทางไปยังเกาหลีใต้ ส่วนการที่ทหารเกาหลีเหนือหลบหนีข้ามแชนแดนในครั้งนี้ ถือเป็นการแปรพักตร์ไปยังเกาหลีใต้ครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

5.กัมพูชาขอเงินทุนนานาชาติ อ้างใช้กำจัดสารเคมีจากอาวุธไทย
สำนักข่าว “ขแมร์ ไทมส์” ของกัมพูชา รายงานว่า สำนักงานเพื่อการห้ามอาวุธเคมี อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ และอาวุธรังสี แห่งกัมพูชา (NACW) เรียกร้องให้นานาชาติช่วยเหลือด้าน “เงินทุน” สำหรับความพยายามในการทำลาย และกำจัดสารอันตรายจากอาวุธเคมี ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของชาวกัมพูชาและสิ่งแวดล้อมในกัมพูชา

โดย NACW ระบุว่า ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งกินเวลานาน 5 วัน ได้จุดชนวนความตึงเครียดตามแนวชายแดน กัมพูชา-ไทย ขึ้นมาอีกครั้ง ในการปะทะกันครั้งนี้ ทหารไทยได้ใช้ปืนใหญ่และอาวุธหลากหลายประเภทโจมตีฐานที่มั่นของกัมพูชา ซึ่ง NACW อ้างว่า ฝ่ายไทยยอมรับว่าได้ใช้สารเคมี รวมถึงกระสุนฟอสฟอรัสขาว ในการสู้รบ ซึ่งการยอมรับนี้สร้างความกังวลอย่างมากจากหน่วยงานด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อม

ทาง พลเอก พร นรา เลขาธิการ NACW กล่าวในการประชุมว่า NACW ได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ต้องสงสัยว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมีตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบสารเคมีมากกว่า 70 ชนิด ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในระยะกลางและระยะยาวต่อมนุษย์ สัตว์ และระบบนิเวศ

นอกจากนี้ เลขาธิการ NACW กล่าวว่า เราไม่ได้พบเพียงทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนเท่านั้น แต่เราตรวจพบสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเงินทุน เพื่อทำลายสารเคมี ซึ่งปฏิบัติการนี้ไม่สามารถทำโดยทีมเจ้าหน้าที่ทั่วไปได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดการเฉพาะทางและมีเงินทุนที่เพียงพอ