กัมพูชาแสร้งหมอบ 2 วัน ล่าสุดถล่มไทยกลางเวทีใหญ่ IPU

กัมพูชาแสร้งหมอบ 2 วัน ล่าสุดถล่มไทยกลางเวทีใหญ่ IPU

View icon 1.1K
วันที่ 21 ต.ค. 2568 | 18.18 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
กัมพูชาแผลงฤทธิ์ หลังแสร้งหมอบช่วง 2 วัน ล่าสุดรองประธานวุฒิฯ  เบอร์ 2 ฮุนเซน ขึ้นโพเดียมถล่มไทยกลางเวทีใหญ่ IPU โวยเจอสงครามจิตวิทยา เปิดเสียงหลอนเวลาค่ำคืน พลิกเกมพร้อมคุยในกรอบ MOU 43 แต่อ้างสนธิสัญญาฝรั่งเศส แผนที่ และคำพิพากษาศาลโลกที่ได้เปรียบไทย พูดวนหลายรอบจนเวลาหมด เมินสัญญาณไฟเตือนจนถูกตำหนิไม่เคารพเวลา

ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา นาย อุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นเบอร์ 2 รองจาก ”ฮุน เซน“ ขึ้นกล่าวในเวที General Debate ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ตลอด 2 วันที่ผ่านมา นายอุช โบฤทธิ์ ไม่ปรากฏตัวเลยในห้องประชุมต่างๆ ของ IPU รวมถึงเวที General Debate ซึ่งเป็นเวทีใหญ่วันแรก เมื่อวานนี้ (20 ตุลาคม) ที่เปิดให้ประธานรัฐสภาจากประเทศต่างๆ ได้อภิปรายต่อที่ประชุมคนละ 6-7 นาที ซึ่ง ”ประธานวันนอร์“ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของไทย ขึ้นพูดในลำดับที่ 17 ในลิสต์ A โดยไม่ปรากฏว่า นายอุช โบฤทธิ์ มาร่วมรับฟังด้วยแต่อย่างใด มีเพียงสมาชิกรัฐสภาของกัมพูชามานั่งสังเกตการณ์

ทั้งนี้ นายอุช โบฤทธิ์ มีคิวพูดในลิสต์ B เพราะเป็นรองประธานวุฒิสภา ไม่ใช่ประธาน จึงถูกจัดคิวพูดในวันที่ 2 ของเวที General Debate การขึ้นกล่าวปราศรัยของ นายอุช โบฤทธิ์ เป็นไปตามความคาดหมายของ ”ทีมไทยแลนด์“ นั่นก็คือฉวยโอกาสโจมตีไทย จากปัญหาพิพาทตามแนวชายแดนด้วยข้อมูลบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง

นายอุช โบฤทธิ์ เริ่มกล่าวด้วยการแสดงไมตรีจิต โดยขอบคุณผู้แทนจากไทยที่มีส่วนร่วมในสมัชชาสหภาพรัฐสภา และยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเวทีนานาชาติ พร้อมย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นสันติภาพ ความปรองดอง และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกข้ออย่างซื่อสัตย์

แต่แล้ว นายอุช โบฤทธิ์ ก็วนมาพูดถึงปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอ้างว่า หากประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประชุม IPU หนนี้ จะพบว่ามาตรฐานมนุษยธรรมถูกละเมิดอย่างรุนแรงจากปัญหาตามแนวชายแดนของกัมพูชา ซึ่งมีปัญหามาเนิ่นนาน ”กัมพูชาไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น จึงขอร้องประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเรา ให้รับทราบเรื่องนี้ด้วย”

รองประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวต่อว่า สงครามระหว่างประเทศของเรา (หมายถึงไทยกับกัมพูชา) เรื่องพรมแดนล้วนมีขอบเขตตามที่กำหนดโดยกฎหมาย ถูกควบคุมโดยเครื่องมือระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน ตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1904 ซึ่งมีแผนที่ประกอบเป็นหลักฐาน นอกจากนั้นยังมีสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ ตลอดจนหลักกฎหมาย รวมถึงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ด้วย

หลักฐานยังถูกเขียนขึ้นโดยบันทึกข้อตกลงปี 2000 (MOU 2543) มีการตั้งกรรมาธิการร่วม รับผิดชอบทางด้านเทคนิคในการดำเนินการเรื่องเขตแดน 

“น่าเสียดายที่ความขัดแย้งนี้ควรได้รับการพิจารณาตามเครื่องมือทางกฎหมาย รวมถึงอำนาจตุลาการที่ได้รับการยอมรับ” นายอุช โบฤทธิ์ ระบุ

ผู้แทนรัฐสภากัมพูชายังถือโอกาสนี้แสดงความชอบคุณประเทศจีน ประเทศมาเลเซีย และ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา และมีการสร้างผลงานสำคัญขึ้นมา นั่นก็คือข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม

แต่แม้กระบวนการตามข้อตกลงจะมีความก้าวหน้า ทว่าบริเวณพรมแดนยังคงเปราะบาง ชาวบ้านกัมพูชายังคงถูกโยกย้าย ถูกปิดล้อม และถูกดดันให้ออกจากพื้นที่ ทหารกัมพูชา 18 คนยังถูกควบคุมตัว ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน

นอกจากนั้นยังมีปฏิบัติการจิตวิทยา ปล่อยเสียงแหลมดังในเวลากลางคืน ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่การโจมตีอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ก็เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายข้อ โดยเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยไทยกระทำการฝ่ายเดียวเพื่อกำหนดข้อบังคับต่างๆ อ้างว่าเป็นการกระทำภายในประเทศของตน

นายอุช โบฤทธิ์ กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า กัมพูชายอมรับไม่ได้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อมรดกโลก เพราะปราสาทพระวิหาร และปราสาทต่างๆ เป็นของกัมพูชา การส่งกำลังทหารเข้าไปก็เพื่อพิทักษ์ปราสาทของเรา เป็นพื้นที่ของกัมพูชา รวมถึงการวางอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก็อยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา

เป็นที่น่าสังเกตว่า รองประธานวุฒิสภาของกัมพูชา พูดเกินเวลาไปมาก พูดจนเวลาหมด ทั้งๆ ที่บริเวณโพเดียมจะมีการติดไฟเตือนสีแดงเอาไว้ เมื่อเวลาหมดก็จะมีแสงเตือนขึ้นคล้ายๆ ไซเรน ปรากฏว่าการพูดของ นาย อุช โบฤทธิ์ เกินเวลาไปนานมาก แสงไฟสีแดงเตือนถี่ๆ หลายรอบ แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ

นอกจากนั้น ประธานการประชุมของสมัชชาสหภาพรัฐสภา ซึ่งเป็นสุภาพสตรี ก็ได้พูดขัดจังหวะ และแจ้งเตือนผ่านไมโครโฟนหลายครั้งว่า “เวลาหมดแล้ว” แต่ นายอุช โบฤทธิ์ ก็ไม่สนใจ พยายามพูดจนจบตามเนื้อหาที่เตรียมมา จนถูกสมาชิกชาติอื่นๆ ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ

หลังจาก นายอุช โบฤทธิ์ กล่าวจบ ปรากฏว่า ประธานที่ควบคุมเวทีสมัชชาสหภาพรัฐสภา ได้กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดที่ไม่เคารพเวลา ส่งผลกระทบต่อสมาชิกชาติอื่นๆ เพราะทุกคนก็อยากพูดเช่นเดียวกัน