สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 21 ต.ค.68

สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 21 ต.ค.68

View icon 49
วันที่ 21 ต.ค. 2568 | 18.08 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 21 ต.ค.68

1.พบร่างชายเกาหลีใต้ เสียชีวิตในกัมพูชา 
สื่อเกาหลีใต้หลายสำนักรายงานว่า พบศพชายชาวเกาหลีใต้ อายุประมาณ 50 ปี เสียชีวิตในห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในเมืองสีหนุวิลล์ ของกัมพูชา โดยกระทรวงต่างประเทศแจ้งรายละเอียดว่า ตำรวจกัมพูชาพบศพ ช่วง 2 ทุ่มวานนี้ ( 20 ต.ค.) และได้แจ้งไปยังสถานทูตเกาหลีใต้ ผ่านทางผู้นำชุมชนชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา ซึ่งมีการร้องขอให้ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่กงสุลเกาหลีใต้ร่วมด้วย และพบหนังสือเดินทางของชายคนดังกล่าว รวมทั้งข้อความลายมือของเขา และโทรศัพท์มือถือ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด

การพบศพชายเกาหลีใต้ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีชาวเกาหลีใต้เสียชีวิตติด ๆ ถึง 2 คน คือ นักศึกษาหนุ่มอายุ 22 ปี ที่ถูกหลอกลวงไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ ก่อนถูกแก๊งสแกมเมอร์ชาวจีน 3 คน ทรมานจนเสียชีวิต และพบศพของเขาในเขตภูขาโบกอร์ จังหวัดกำปอต เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ได้นำอัฐิของเขาเดินทางกลับไปให้ครอบครัวแล้ว

จากนั้น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ยังพบศพหญิงอายุราว 30 ปีคนหนึ่ง บริเวณชายแดนเวียดนาม ติดกับจังหวัดบาเวต ของกัมพูชา ซึ่งจากคำบอกเล่าของพยานเบื้องต้นอ้างว่า เธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ในกัมพูชา ในฐานะผู้จัดหาบัญชีม้า แล้วเกิดขัดแย้งกับหัวหน้าแก๊งจนถูกสังหารแล้วนำไปทิ้งข้ามชายแดน

การเสียชีวิตของ 2 คน ทำให้ทางการเกาหลีใต้ต้องส่งทีมปฏิบัติการพิเศษไปรับตัวชาวเกาหลีใต้ 64 คน ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา กลับไปสอบสวนและดำเนินคดีในประเทศ

2.สส.เผย คนเกาหลีใต้เป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ เพราะว่างงาน
จากกรณีที่ทางการเกาหลีใต้ส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำไปรับตัวชาวเกาหลีใต้ 64 คน ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ เดินทางกลับจากประเทศกัมพูชา หลังพบศพของนักศึกษาหนุ่มที่ถูกหลอกลวงไปทำงานก่อนถูกเรียกค่าไถ่และทรมานจนเสียชีวิต

“พัก ชาน-แด” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกาหลีใต้ ซึ่งเคยช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้รวม 30 คน จากศูนย์สแกมเมอร์ เมื่อเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา เผยว่า สาเหตุที่ทำให้มีชาวเกาหลีใต้จำนวนมากเดินทางไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์กัมพูชา ทั้งโดยสมัครใจและที่ถูกหลอกลวงไป เกิดจากปัญหาการว่างงานในประเทศ ดูได้จากกลุ่มเหยื่อที่เขาให้ความช่วยเหลือ พบว่าเป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 20-30 ปี ที่สิ้นหวังจากการหางานทำในประเทศ จึงเป็นช่องว่างให้แก๊งก่ออาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ หลอกลวงพวกเขาไปทำงานโดบอ้างว่ามีรายได้ดี ซึ่งหากสถานการณ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะมีผู้ตกเป็นเหยื่อไม่จบไม่สิ้น

ส่วนสาเหตุที่เขาสามารถช่วยเหลือเหยื่อจำนวนมากออกจากศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชาได้ เป็นเพราะความกล้าหาญของเหยื่อบางคนที่ถูกหลอกลวงไปทำงาน ที่แอบส่งข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของศูนย์สแกมเมอร์ให้กับทีมงานของเขาอย่างลับ ๆ ซึ่งหากเหยื่อถูกจับได้อาจถูกทำร้ายและทรมานจนเสียชีวิต

3.“ซานาเอะ ทาคาอิจิ” นายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น
สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของญี่ปุ่น มีการลงมติเลือกผู้ดำรงตำแน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต่อจากนายชิเงรุ อิชิบะ (Shigeru Ishiba) ซึ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า นางซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) หัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือพรรค LDP ชนะนายโยชิฮิโกะ โนดะ (Yoshihiko Noda) หัวพรรค CDP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด ด้วยคะแนน 237 เสียง จากเสียงทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎร 465 เสียง และได้เสียงจากการลงคะแนนของวุฒิสภา 125 เสียง กลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น

นางซานาเอะ ทาคาอิจิ อายุ 64 ปี เป็นแกนนำกลุ่มอนุรักษ์นิยมในพรรค LDP มี "หญิงเหล็ก" มากาเร็ต แธ็ตเชอร์ ของอังกฤษ เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานการเมือง และเป็นทายาททางการเมืองของนายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมุ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

หลังจากทราบผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ชาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ยอมรับว่า ดีใจที่ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะนางซานาเอะ ทาคาอิจิ คือผู้ที่ชาวญี่ปุ่นคาดหวังว่าจะนำสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกลับคืนสู่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาแรงงานต่างชาติ เปรียบเสมือนการสูดลมหายใจแห่งความสดชื่น แต่ผู้หญิงบางส่วนก็ไม่มีความมั่นใจว่านางซานาเอะ ทาคาอิจิ ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม จะส่งเสริมสิทธิสตรีหรือไม่ เพราะมองว่าเธอค่อนข้างมีแนวคิดสืบทอดระบบชายเป็นใหญ่

ก่อนหน้านี้ หนทางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ เริ่มมีปัญหา เมื่อพรรคโคเมโตะ พรรคพันธมิตรร่วมรัฐบาลเดิมขอถอนตัวจากการสนับสนุนพรรค LDP โดยอ้างว่าไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจเรื่องการรับมือกับปัญหาทุจริตเงินทุนพรรค LDP ที่ส่งผลให้ภาพลักษณ์รัฐบาลตกต่ำในช่วงหลัง ๆ แต่เธอไปเจรจากับพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น หรือพรรคอิชิน เพื่อดึงพรรคของเขามาเข้าร่วมรัฐบาลแทน จนได้รับเสียงสนับสนุนในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้มากพอ

4.ออสเตรเลีย-สหรัฐฯ จับมือ โต้จีนหวงแร่ “แรร์เอิร์ธ”
ที่ทำเนียบขาววานนี้ (20 ต.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส ของออสเตรเลีย ลงนามข้อตกลงความร่วมือด้านการจัดแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งถือเป็นการตอบโต้การที่จีนเพิ่งประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก หรือแร่ "แรร์เอิร์ธ" อย่างเข้มงวด จนส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ ซึ่งแร่หายากจำเป็นต้องใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล

เบื้องต้นทั้งสองประเทศจะลงทุนร่วมกัน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 33,000 ล้านบาท ในโครงการเหมืองแร่และแปรรูปในช่วงหกเดือนข้างหน้า รวมถึงกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การปลดล็อกโครงการแร่ธาตุที่สำคัญหลากหลายชนิด อาทิ แร์รเอิร์ธ, ลิเธียม และนิกเกิล มูลค่า 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 280,000 ล้านบาท ในอนาคต

ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่า จีนมีแหล่งสำรองแร่ธาตุหายากมากที่สุดในโลก แต่ออสเตรเลียก็มีแหล่งสำรองจำนวนมากเช่นกัน แร่ธาตุเหล่านี้ถูกนำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องยนต์อากาศยาน และเรดาร์ทางทหาร

5.พลุฉลอง “ดิวาลี” ส่งผลมลพิษทางอากาศในอินเดีย
ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ต.ค.) ประชาชนทั่วประเทศอินเดีย พากันออกมาจุดพลุดอกไม้ไฟ, ประทัด และตะเกียงน้ำมัน พร้อมทั้งสวดมนต์เฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวฮินดู โดยเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาที่เมืองอโยธยา (Ayodhya) ของพระราม หลังปราบ "ราวณะ" หรือทศกัณฑ์ และช่วยนางสีดากลับมาได้สำเร็จ ตามความเชื่อของชาวฮินดู

ผลจากการเฉลิมฉลองดังกล่าวส่งผลให้สภาพอากาศในอินเดียย่ำแย่ลง โดยเฉพาะที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ วันนี้ (21 ต.ค.) บริษัท "ไอคิวแอร์" (IQAir) ของสวิตเซอร์แลนด์ วัดค่าคุณภาพอากาศในกรุงนิวเดลีได้สูงถึง 442 ถือว่าอยู่ในระดับ "อันตราย" ทำให้กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษสูงสุดในโลก โดยมีค่า PM 2.5 สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 59 เท่า ขณะที่ แลนด์มาร์กสำคัญอย่างประตูอินเดีย (India Gate) และวัดอักชาร์ดัม (Akshardham Temple) ถูกบดบังด้วยหมอกควันพิษจนแทบมองไม่เห็น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของอินเดียผ่อนผันให้มีการจุดพลุดอกไม้ไฟได้ โดยอนุญาตให้ใช้ "พลุรักษ์โลก" ซึ่งปล่อยมลพิษน้อยกว่าพลุทั่วไปราว 30-50% ได้เป็นเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ในช่วงวันที่ 19-20 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า พบมีการจุดพลุนอกเวลาที่ทางการกำหนด และแม้ว่าจะใช้ "พลุรักษ์โลก" แต่ก็ยังส่งผลกระทบให้คุณภาพอากาศย่ำแย่ลงอย่างมาก

ทั้งนี้ เมืองหลวงของอินเดียและเขตใกล้เคียงมักเกิดหมอกควันหนาทึบทุกฤดูหนาว เนื่องจากอากาศเย็นและความกดอากาศทำให้เกิดการกักเก็บฝุ่นจากการก่อสร้าง, ไอเสียจากยานพาหนะ และควันไฟจากภาคเกษตรกรรม ทำให้ประชากรกว่า 20 ล้านคน ต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ