กรณีเรื่อง "มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้" หลังถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง ที่ตัวของ "กัน จอมพลัง" เองไม่ได้มีชื่อเป็นประธาน รวมถึงที่โซเชียลมีการแชร์โพสต์ข้อบังคับมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ตามข้อบังคับของมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ข้อ 39 กำหนดว่า ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไป ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ “มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า” นั้น
ก่อนที่ต่อมา กัน จอมพลัง จะออกมาระบุชี้แจงว่า "ส่วนข้อ 39 หากเลิกมูลนิธิ กันจอมพลัง ตอนนี้ผมให้ทีมงานดำเนินการเปลี่ยน ให้ทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นของมูลนิธิที่มีความน่าเชื่อถือและมั่นคงแห่งนึง ซึ่งปัจจุบันมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ก็ยังไม่ได้เลิกยังคงทำงานอยู่ และปัจจุบันไม่มีเงินออกไปที่มูลนิธิธรรมนัส เวลาจะคัดคนครับ"
(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไอซ์ รักชนก แชร์โพสต์ข้อบังคับมูลนิธิกันจอมพลัง)
(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : กัน จอมพลัง แจงเหตุไม่มีชื่อเป็นประธาน ชี้มูลนิธิอื่นก็เป็น แต่ทำไมถึงเป็นแค่ มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้)
วันนี้ (23 ต.ค. 68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าวว่า นัส จอมพลัง? “หากมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้เลิกไป ทรัพย์สินที่เหลือตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า”
อย่างนี้มันไม่ใช่แล้ว คนบริจาคน่าจะต้องรับรู้เรื่องนี้ด้วย แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์เมื่อเลิกมูลนิธิ แต่เอากันตรงไปตรงมา ชาวบ้านเขาจะบริจาคให้ใคร
“กันหรือนัส“ หรือจะเป็น ”นัส จอมพลัง“?
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ เลิกแล้วยกให้ใคร แต่อยู่ที่ความผูกพันแนบแน่นของ กันกับนัส ที่ปิดบังตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีต่างหาก ไม่มีอะไรผิดถึงขนาดต้องรีบออกตัวเปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์
แค่เอาให้ชัดไปเลยดีกว่าว่า ”ธรรมนัส และ กัน จอมพลัง“ คือพี่น้องกัน ช่วยกัน เท่ากับช่วยธรรมนัส ไม่ได้ผิด แต่จะฝืดหน่อย ยิ่งเลี่ยงไปเลี่ยงมา ชักเข้าชักออก ยิ่งทำยิ่งมีพิรุธ แมนๆ รับกันตรงๆ คนให้เงินบริจาคจะได้รู้
ตอนนี้คนบริจาคเขาเริ่มทวงถาม ว่าเงินที่ให้เอาไปทำอะไรบ้าง เหลืออยู่กี่บาท?
บอกแล้วเรื่องเงินๆ ทองๆ ทำเสียคนมามาก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนแล้ว