“พิชัย” ลั่น! “แรร์เอิร์ธ” ไม่เคยอยู่ในวงเจรจา “ภาษีทรัมป์” สมัย “รัฐบาลเพื่อไทย”
“พิชัย” ขอบคุณรัฐบาลสานต่อกรอบความร่วมมือ “ภาษีสหรัฐฯ” แนะยึดหลักเจรจา “ไทยอยากซื้อ – สหรัฐอยากขาย – ต้องเป็นธรรมต่อไทย”
เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.68) นายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาภาษีทรัมป์ของรัฐบาลที่ผ่านมา โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า ชื่นชมรัฐบาลปัจจุบัน เดินหน้าตามหลักการเดิมที่ทีมเจรจาภายใต้ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ ได้วางรากฐานไว้
โดยการประกาศแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันมายาวนาน และภายใต้กรอบความตกลงฉบับใหม่นี้ ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าหารือเชิงลึกเพื่อสร้างข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรม สมดุล และยั่งยืน
.
แต่ประเด็นที่ถูกกล่าวถึงว่า “ไทยจะเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ ถึง 99%” นายพิชัย กล่าวว่า ในรายละเอียดยังมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ชัดเจน เช่น หลายรายการเปิดแบบ “ทยอย” หรือมี “โควต้า” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัวก่อน และหลายกลุ่มสินค้า เช่น ผลไม้เมืองหนาว หรือผลิตภัณฑ์จากนม ก็เป็นสินค้าที่ไทยเปิดให้ประเทศอื่นอยู่แล้ว ขณะที่สินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์พวงมาลัยซ้าย หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมบางชนิด แทบไม่มีตลาดอยู่ในประเทศไทยมาก่อน
.
ในทางกลับกัน ไทยเองก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานที่มีศักยภาพ เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง DDGS สำหรับอาหารสัตว์ที่ตลาดยังต้องการ และมีศักยภาพขยายตัวได้ มีตลาดรองรับ แต่ยังขาดวัตถุดิบ ต่อมา แก๊ส LNG และผลิตภัณฑ์พลังงาน ซึ่งสหรัฐฯ พร้อมส่งมอบในราคาที่เป็นธรรม และการจัดซื้อเครื่องบิน Boeing เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบินของไทย
.
ทั้งหมดนี้ จะต้องเป็นไปภายใต้หลักการ “ไทยอยากซื้อ – สหรัฐอยากขาย – ต้องเป็นธรรมต่อไทย” พร้อมทั้งมีกลไกคุ้มครองเกษตรกร เช่น การกำหนด Import Window และสัดส่วนการนำเข้าต่อการรับซื้อผลผลิตในประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อภาคเกษตรกรรม
.
ส่วนประเด็นแรร์เอิร์ธ (Rare Earth) หรือ แร่หายาก นั้น นายพิชัย ยืนยันว่า ในช่วงที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ไม่เคยมีการหารือประเด็นนี้ในโต๊ะเจรจา และ รัฐบาลควรตระหนักถึงมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น แต่หากอนาคตไทยมีศักยภาพด้านนี้จริง ก็ถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส บนมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ประเทศเสียประโยชน์ โดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ