เกาหลีใต้ มอบอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด พร้อม "มงกุฎทองคำจำลอง" ให้เป็นของขวัญแก่ "ทรัมป์" ในโอกาสเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ
ประธานาธิบดี อี แจมยอง แห่งเกาหลีใต้ ให้การต้อนรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เดินทางถึงเกาหลีใต้ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (29 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยการมอบเครื่องมหาอิสริยาภรณ์มูกุงฮวา (Grand Order of Mugunghwa) ซึ่งเป็นอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของประเทศ ในโอกาสเดินทางเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ นับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ขณะเดียวกัน ผู้นำเกาหลีใต้ ยังมอบ "มงกุฎทองคำจำลอง" เป็นของขวัญให้กับผู้นำสหรัฐฯ ด้วย โดยเป็นการจำลองมงกุฎชอนมาชง (Cheonmachong crown) หรือ มงกุฎแห่งซิลลา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณของเกาหลี
สำนักประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการยอมรับบทบาทของทรัมป์ในฐานะ "ผู้สร้างสันติภาพ" บนคาบสมุทรเกาหลี เขาจึงสมควรได้รับเครื่องมหาอิสริยาภรณ์มูกุงฮวา ซึ่งตั้งชื่อตามดอกไม้ประจำชาติของเกาหลีใต้ นั่นคือ ชบาสีชมพู หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กุหลาบชารอน (Rose of Sharon) นอกจากนี้ ทางการเกาหลีใต้ ยังกล่าวถึงการมอบ "มงกุฎทองคำจำลอง" ว่า นี่เป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ของอาณาจักรซิลลา ที่รักษาสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีมายาวนาน และยุคใหม่ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการเติบโตร่วมกันบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้จะร่วมมือกันสร้างขึ้นมา
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ เดินทางเยือนเกาหลีใต้เป็นประเทศสุดท้าย ในกำหนดการเดินทางเยือนทวีปเอเชียเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งนอกจากเขาจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปก หรือ APEC CEO และจะมีการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับเกาหลีใต้ รวมถึงการเพิ่มงบประมาณซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ แล้ว คาดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จะหารือกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ด้วย
ขณะเดียวกัน ประชาชนชาวเกาหลีใต้บางส่วนออกมารวมตัวประท้วงต่อต้าน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมมีการร้องตะโกนข้อความว่า "ไม่ใช่กษัตริย์" (No Kings!) และ "ไม่ต้อนรับทรัมป์" (Trump not welcome!) รวมทั้งมีการตัดกระดาษเป็นภาพใบหน้าของผู้นำสหรัฐฯ ด้วย
ควอน ยอง-กุก (Kwon Young-guk) อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคแรงงานประชาธิปไตย (Democratic Labor Party) ที่ร่วมการชุมนุมต่อต้านครั้งนี้กล่าวว่า "มันช่างไร้สาระที่พวกเขาพูดถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ในขณะที่แต่ละชาติต่างดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ"