วันนี้ (6 พ.ย. 68) นางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ขณะนี้มีศูนย์กลางอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีกำลังลมแรงสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตก คาดว่าจะขึ้นฝั่งตอนกลางของประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 6–7 พ.ย. 68 ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน เคลื่อนผ่าน สปป.ลาว เข้าปกคลุมบริเวณ จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของอิทธิพลฝนตกหนักในประเทศไทย โดยพายุจะเข้าสู่เขตไทยอย่างชัดเจนในวันที่ 7 พ.ย.
สำหรับ จ.ออุบลราชธานี เป็นพื้นที่แรกที่พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี”จะเข้าต้องเผชิญ ซึ่งทำให้มีฝนตกหนัก ถึงหนักมากในพื้นที่ โดยเฉพาะจุดเสี่ยงในพื้นที่ อ.เมืองอุบลราชธานี และ อ.วารินชำราบที่ เพิ่งจะผ่านพ้นสถานการณ์อุทกภัย ได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจในชุมชนหาดวัดใต้ ชุมชนวัดดรมัน อ.เมืองอุบลราชธานี พบว่าสถานการณ์ในชุมชนน้ำแห้งหมดแล้วเหลือเพียงร่องรอยของคราบน้ำที่ยังแสดงถึงระดับน้ำที่ขึ้นสูงในช่วงที่ผ่านมา แต่สำนักงานชลประทาน ยังคงขึ้นธงเหลืองให้เฝ้าระวังระดับน้ำในชุมชนอยู่
ด้านชุมชนท่าบ้งมั่ง เขตเทศบาลเมืองวารินชำราบ พื้นที่ต่ำกว่า อ.เมืองอุบลราชธานี โดยทั่วไปน้ำแห้งเกือบหมดแล้วเหลือเพียงบางจุดที่เป็นแห่งพักน้ำเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองวารินชำราบ ยังร่วมกับสำนักงานชลประทานที่ 7 กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ เดินเครื่องสูบน้ำระบายออกจากชุมชนอย่างเร่งด่วนเตรียมรับมือ พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี”
ทางบ้าน นางหนูบาน อายุ 55 ปี ชาวบ้าน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าตนเองได้ยินเรื่อง พายุจะเข้ามาวันที่ 7 พ.ย. นี้เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีความกังวลใจอะไรมาก เพราะชินกับสถานการณ์น้ำแล้ว ตนเองและครอบครัวอยู่กับน้ำมาโดยตลอด แต่ที่ตนเองกังวลมากกว่าน้ำก็คือลมฝน เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนมากกว่า เพียงระดับน้ำชาวบ้านเองสามารถอพยพได้ทัน
ทางเทศบาลเองก็สามารถเข้ามาช่วยเหลือขนย้ายได้ทันที่ขอแค่โทรไปก็มีเจ้าหน้าที่ทั้งทางรถและทางเรือมาช่วยขนย้ายสิ่งของออกชุมชน อีกทั้งระดับน้ำในแม่น้ำมูลก็ลดลงมากน่าจะสามารถรับน้ำจากพายุได้
เพราะฉะนั้นเรื่องน้ำไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับเรื่องลมกรรโชกแรง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติยังไม่ได้มีการเตรียมอพยพแต่อย่างใด