เว็บพนันโดนปิดก็ยังเปิดให้เล่นพนันแสดงถึงประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจ อัจฉริยะมาตามนัด โชว์หลักฐาน ตร.-เครือข่ายนักการเมือง โยงเส้นเงินพนันออนไลน์ ยอมรับรู้จัก "บิ๊กโจ๊ก" แต่เป้าหมายคนละอย่าง
วันนี้ (7 พ.ย.68) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินหน้าเรียกร้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในเอาผิดตำรวจที่พัวพันกับเครือข่ายการพนัน พร้อมเปิดเว็บการพนัน อ้างเป็นเครือข่ายของนักการเมือง และเจ้าพ่อเว็บการพนันหลายคน ที่เคยถูกจับดำเนินคดี แต่ยังเปิดให้มีการเล่นการพนัน
นายอัจฉริยา ได้เปิดหน้าเว็บการพนันบนโทรศัพท์ไม่ต่ำกว่า 6 เว็บไซต์ ที่ยังเปิดให้มีการเล่นการพนัน โดยอ้างว่า เว็บการพนันเหล่านี้ เคยถูกตำรวจ PCT 4 และตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดำเนินคดีเอาผิดมาแล้ว แต่ยังปล่อยให้มีการเปิดให้เล่นการพนันออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงการทำงานของตำรวจที่ไม่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และยังมีรายชื่อตำรวจหลายนายเข้าไปรับผลประโยชน์ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบและเอาผิด พร้อมเรียกร้องให้ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ปิดเว็บไซต์การพนัน โดยทันที
นายอัจฉริยะ บอกด้วยว่า การเดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันนี้ เพื่อติดตามเอกสารของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ส่งเรื่องการสืบสวนในคดีมีนักการเมือง เข้าไปรับผลประโยชน์กับเครือข่ายการพนันออนไลน์ ให้กับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร) ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2567 โดยอ้างว่าตำรวจชุดทำคดีไม่นำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบในสำนวน รวมไปถึงกรณีที่ชุดทำคดี ถูกตำรวจภูธรภาค 9 ฟ้องร้องว่าช่วยเหลือผู้ต้องหาพ้นผิด เพราะไปกลับคำให้การในชั้นสอบสวน ถึงแม้จเรตำรวจจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว แต่ก็เชื่อว่ามีขบวนการช่วยเหลือเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง
นอกจากนี้นายอัจฉริยะ ยังได้กล่าวอ้างถึงนายตำรวจหลายคนและการโยกย้ายตำแหน่งตำรวจระดับนายพลที่ผ่านมา ว่ามีการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม และโยกย้ายตำรวจบางนาย ไปดูแลเครือข่ายเว็บการพนัน และสแกมเมอร์ ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
นายอัจฉริยะ ยอมรับว่ารู้จักกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. แต่เป้าหมายคนละอย่างกัน เป้าหมายของตน คือ เร่งรัดตำรวจให้ปราบปรามเครือข่ายเว็บการพนัน และเครือข่ายคอลเซนเตอร์ ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ถูกดำเนินคดีแต่เพียงกลุ่มเดียว ทั้งที่มีนายตำรวจคนอื่นเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
