เจ้าหน้าที่ อช.ทองผาภูมิ ร่วมกับทหาร ลุยป่าทึบ 16 กิโลเมตร จับกุมกลุ่มเพื่อนบ้านลักลอบบุกรุกพื้นที่ต้นน้ำขุดดินหาแร่ทองคำกลางดึก สร้างความเสียหายกว่า 750,000 บาท
วันนี้ (9 พ.ย. 68) นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เผยว่า เมื่อวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 คณะทำงานฯ ภายใต้การอำนวยการของนายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ, พ.อ.พรรณศักย์ เพรียวพานิช ผู้บังคับการกองทหารลาดหญ้า และทีมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำโดยนายบัญชา กาญจนพันธ์ พนักงานพิทักษ์ป่า ได้ออกปฏิบัติการจับกุมผู้บุกรุกพื้นที่ป่าปิล๊อกคี่
หลังจากติดตั้งกล้องวงจรปิดในแปลงคดีพื้นที่กว่า 13 ไร่ ที่ถูกบุกรุก และได้รับสัญญาณแจ้งเตือนพบกลุ่มบุคคล 15-20 คน เข้าออกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทางคณะเจ้าหน้าที่จึงเดินทางด้วยเรือตรวจการไปยังหมู่บ้านปิล๊อกคี่ จากนั้นเดินเท้าผ่านเส้นทางทำไม้เก่า ลัดเลาะไปตามร่องห้วยและไหล่เขาในป่ารกทึบ ไม่มีหมู่บ้าน ระยะทางกว่า 16 กิโลเมตร เพื่อเข้าสู่จุดซุ่มจับกุม
เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ทางเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นแสงไฟและได้ยินเสียงคนพูดคุยกันบริเวณหลุมขุดดิน จึงวางแผนปิดล้อม แต่กลุ่มบุคคลบางส่วนวิ่งหลบหนีไปได้เนื่องจากความชำนาญพื้นที่ โดยสามารถจับกุม นายโซเอะเกดุ อายุ 34 ปี สัญชาติเมียนมา แอบหลบอยู่ในหลุมขุดดิน พร้อมยึดของกลาง 13 รายการ ได้แก่ กระสอบดิน 8 กิโลกรัม, มีดดาบ, กระสุนปืน .22 LR จำนวน 5 นัด, โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง, อุปกรณ์ขุดดินและร่อนแร่ รวมมูลค่าความเสียหาย 756,307 บาท ทางผู้ต้องหาให้การว่าเดินทางเข้าเมืองไทยผ่านช่องทางธรรมชาติช่องป่าหมาก-ยาพู พร้อมเพื่อนอีก 3 คน โดยถูกชักชวนให้มาขุดดินหาแร่ทองคำ
โดยผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีฐานความผิด 6 ข้อหา ได้แก่ บุกรุกและทำลายป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2482, บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507, บุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ในอุทยานแห่งชาติ, ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ (ดิน หิน แร่), เข้าไปดำเนินกิจการเพื่อหาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและกระสุนโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นย้ำให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทางอุทยานจึงได้เพิ่มความเข้มข้นในการลาดตระเวนพิทักษ์ผืนป่า
