ศึกษาพบดื่มกาแฟ วันละแก้ว อาจป้องกันภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

ศึกษาพบดื่มกาแฟ วันละแก้ว อาจป้องกันภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

View icon 131
วันที่ 11 พ.ย. 2568 | 11.48 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
งานวิจัยพบ  ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้ว หรือ เอสเปรสโซอย่างน้อยวันละหนึ่งช็อต มีความเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วซ้ำลดลงร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับผู้มีภาวะดังกล่าวที่หลีกเลี่ยงคาเฟอีนอย่างเด็ดขาด

(11 พ.ย.68)  สำนักข่าวซินหัว รายงาน ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแอดิเลดของออสเตรเลีย ร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานฟรานซิสโกของสหรัฐฯ ระบุว่าการดื่มกาแฟวันละหนึ่งแก้วอาจป้องกันภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AF) ซึ่งเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่อาจนำสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

คณะนักวิจัยดำเนินการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มครั้งแรกเพื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มกาแฟกับภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว และค้นพบว่าผู้มีภาวะดังกล่าวที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้วหรือเอสเปรสโซอย่างน้อยวันละหนึ่งช็อต มีความเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วซ้ำลดลงร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับผู้มีภาวะดังกล่าวที่หลีกเลี่ยงคาเฟอีนอย่างเด็ดขาด

คริสโตเฟอร์ เอ็กซ์. หว่อง อาจารย์มหาวิทยาลัยแอดิเลดและโรงพยาบาลรอยัลแอดิเลด ผู้เขียนคนแรกของการศึกษานี้ ซึ่งติดตามผู้มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วในออสเตรเลีย สหรัฐฯ และแคนาดา จำนวน 200 ราย เป็นเวลานาน 6 เดือน เผยว่าผลการศึกษานี้น่าประหลาดใจเพราะย้อนแย้งกับสมมติฐานทั่วไปของแพทย์และผู้ป่วยที่คิดว่ากาแฟทำให้หัวใจเต้นผิดปกติกว่าเดิม

หว่องกล่าวว่าผลการศึกษาชี้ว่าผู้มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่ดื่มกาแฟยังคงสามารถเพลิดเพลินกับการดื่มกาแฟได้อย่างปลอดภัย ซึ่งทำให้น่าศึกษาเพิ่มเติมว่าผู้มีภาวะข้างต้นที่ไม่ได้ดื่มกาแฟควรพิจารณาการเริ่มต้นดื่มกาแฟหรือไม่ โดยภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างเหมาะสมจนเพิ่มความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง

เกรกอรี มาร์คัส อาจารย์จากภาควิชาหทัยวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานฟรานซิสโก ผู้เขียนอาวุโสของการศึกษานี้ กล่าวว่ากาแฟเพิ่มกิจกรรมทางกายภาพ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยลดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว และคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะที่อาจลดความดันโลหิตและความเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

มาร์คัสกล่าวว่าส่วนผสมอื่นๆ ในกาแฟยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่อาจส่งผลเชิงบวกต่อร่างกาย และผลการศึกษานี้อาจเปลี่ยนแปลงคำแนะนำทางการแพทย์ที่มอบให้บรรดาผู้ป่วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง