12 พ.ย. 68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ จ.อ่างทอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคกลาง เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากพล ม.2 มาที่โรงเรียนป่าโมกข์วิทยาภูมิ จ.อ่างทอง ซึ่งระหว่างทางได้บินวนดูสถานการณ์น้ำจากมุมสูง พร้อมรับฟังรายงานสรุปสถานการณ์น้ำ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ลงจากเฮลิคอปเตอร์ ที่โรงเรียนป่าโมกข์วิทยาภูมิ และถือเป็นจุดแรกของการลงพื้นที่วันนี้ เพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
นายอนุทิน ขึ้นเวทีกล่าวทักทายประชาชน ว่า ตนห่วงใยชาวอ่างทอง ที่จริงตนเองต้องคลานเข้ามา เพื่อมากราบขออภัยพ่อแม่พี่น้อง ที่ปล่อยให้ต้องผจญกับความยากลำบากจากสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ซึ่งจะโทษธรรมชาติอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเป็นรัฐบาล ต้องมีความรับผิดชอบ บริหารสถานการณ์ให้กับพ่อแม่พี่น้องให้ดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้สั่งให้นายภราดร work from อ่างทอง ไม่ต้องทิ้งประชาชน ยกเว้นงานสำคัญถึงเข้ากรุงเทพฯ ได้ แต่หลังจากนั้นให้รีบกลับมาดูแลแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.อ่างทองและใกล้เคียง ใช้เวลาที่นี่ให้มากที่สุด เข้าใจว่าปัญหานี้เกิดซ้ำ ในฐานะที่เป็นลูกแม่เจ้าพระยาด้วยกัน ทรัพย์สินเสียหายพี่น้องต้องย้ายของหนีน้ำ ความรู้สึกที่ต้องอยู่ในภาวะน้ำท่วม ตนเข้าใจดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ ให้หลังคาเรือนละ 9,000 บาท แต่คงไม่มีใครอยากได้ สิ่งที่ต้องการคือใช้ชีวิตประกอบทำอาชีพด้วยความเป็นปกติสุข หลายครอบครัวในอ่างทอง เป็นเจ้าของนาเจ้าของไร่ เสียสละนาไร่เป็นพื้นที่รับน้ำ สูญเสียโอกาส ผลิตพืชผลทางการเกษตรทำไร่ทำนา เป็นผู้เสียสละรับน้ำ ไม่ให้ไปกระทบทำความเสียหายในเขตเมืองที่ถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจ ให้ได้รับความเสียหาย ขออนุญาตใช้อำนาจความเป็นนายกรัฐมนตรี ทดแทนโอกาสที่พ่อแม่พี่น้อง ชาวไร่ชาวนาที่สละพื้นที่ ไร่นาเลือกสวนเป็นพื้นที่รับน้ำ จะขออนุญาตเอางบประมาณที่กำกับดูแลอยู่มาดูแล รายเดือนจนกว่าน้ำจะหมดไป ปกติ 2 เดือน 3 เดือนไม่เป็นไร แต่นี่ 4 เดือนแล้วเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องมาเยียวยาพวกท่าน ขอให้นายภราดรเร่งนำเสนอเพื่ออนุมัติโดยเร็ว และไม่ใช่เฉพาะ จ.อ่างทอง แต่เป็นทุกที่ที่ชาวบ้านพี่น้องชาวเกษตรกรชาวไร่ชาวนาได้สละ พื้นที่ของตัวเองให้เป็นพื้นที่รับน้ำ และทำให้ตัวเองสูญเสีย โอกาสในการสร้างรายได้ ในการผลิตพืชผลทางการเกษตร
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานทุกระดับลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแลและหน่วยกู้ภัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดหาของกินของใช้สิ่งของที่จำเป็นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้พ่อแม่พี่น้อง สามารถดำรงชีวิตได้ ท่ามกลางความลำบากจากการคุกคามของภัยธรรมชาติครั้งนี้ ช่วงใกล้สิ้นเดือน ทุกอย่างน่าจะเบาลง เพราะได้มีการวางแผนร่วมกันและทำงานกันเป็นทีม ทั้งจากสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน เพื่อหาหนทางในการระบายน้ำเปิดปิดประตูระบายน้ำและจัดการเส้นทางเดินของน้ำให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า เข้าใจดีเสียงกร่นเสียงด่าของพ่อแม่พี่น้องเพราะมีทุกข์ ท่านระบายใส่ พวกเราพร้อมที่จะเป็นที่พึ่ง กล่าวถึงความในใจและความทุกข์ของท่าน ซึ่งรับทราบดี บางคนอึดอัดอยากระบาย ระบายมาได้เลย ตนดูใน YouTube ต้องชื่นชม สส.แบต, สส.แชมป์ ที่ขึ้นรถอีแต๋น รถบรรทุก เยี่ยมพี่น้องที่ประสบภัย บางครั้งโดนเสียงบ่น บางครั้งโดนเสียงด่า แต่ทั้งสองคนยังสำนึกตลอดเวลา เพราะเลือกชีวิตที่จะอยู่เป็นคนรับใช้ ของพี่น้องประชาชนแล้ว เพราะฉะนั้น เสียงด่าเหล่านี้รับฟัง และไปหาหนทางแก้ไข ถือเป็นมงคลหู เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องรับฟัง ไม่มีตอบโต้ใด ๆ นอกจาก นำไปคิดและแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ แก้ปัญหาให้พี่น้องทุกคน
นายอนุทิน ยังสอบถามว่าใครลงทะเบียนคนละครึ่งพลัสหรือไม่ ได้บัตรในสวัสดิการหรือไม่ ให้ยกมือขึ้น ทุกคนที่ลง ได้ขอร้องให้ไปลงทะเบียน ถ้าตกหล่นสิ้นปีจะมีเฟส 2 และคนที่ตกรอบแรกจะคืนไปให้ด้วย คนที่ได้เฟสแรกแล้ว เฟส 2 ก็จะได้ตามปกติ ตนมีความกังวลใจมาก ขอกลับไปช่วยเหลือพี่น้องให้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ ขอพบปะเท่านี้ก่อนเดี๋ยวจะไปดูเขื่อนแล้วจะไปอำเภออื่นอีก หรือถ้ามันจะพยายามทำทุกอย่าง ร้องขออภัยอีกครั้งและยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เหมือนแบบนี้ขึ้นอีก
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบใบประกาศนียบัตร ให้กับจิตอาสา และมอบถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชน ก่อนเดินไปดูพนังกั้นน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับโรงเรียนป่าโมกข์วิทยา โดยได้นำมือไปวัดปริมาณน้ำ จากขอบของพนัง พบว่าเหลือเพียงฝ่ามือเดียวก็จะล้นขึ้นมาแล้ว และยังได้นำมือไปกวักน้ำขึ้นมา แล้วพูดว่าน้ำยังใสอยู่