นายกสมาคมผู้ประกอบการหล่อหลอมโลหะด้วยเตาเหนี่ยวนำไฟฟ้า ชี้ไอเดียชงโละระบบ IF ผลิตเหล็ก ใช้ระบบ BOF-EAF แทน อาจทำให้รัฐเสียค่าโง่มหาศาล ต้องหารือรอบด้าน กระทบความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของชาติโดยตรง
มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การทำงานใน 4 เดือนของ ครม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นั้น จะยุบสภาช่วงสิ้นเดือน ม.ค. 69 นายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรีวางนโยบายรัฐบาลว่าเร่งรัดทำงานให้เกิดประโยขน์สูงสุดในตอนนี้ โดยในส่วนนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม วางนโยบายว่าภารกิจในกระทรวงอุตสาหกรรมต้องโปร่งใส ส่วนกรณีการตรวจสอบเหล็กเส้นแล้วไม่ผ่านมาตรฐาน ยังคงถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในทุกภาคส่วน และบางฝ่ายจะเสนอรัฐบาลให้เปลี่ยนการผลิตเหล็กเส้นของไทยทั้งระบบ โดยเปลี่ยนจากระบบ IF ให้เป็นระบบ BOF/EAF แทน
ดร.ศักดิ์ชัย ธนบดีจิรพงศ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการหล่อหลอมโลหะด้วยเตาเหนี่ยวนำไฟฟ้า กล่าวว่า รมว.อุตสาหกรรม ยังกล่าวว่ากรณีการตรวจสอบดังกล่าวนั้นจึงไม่ใช่เหล็กจากเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด และเป็นการถอนอายัดเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านหรือเป็นไปตามเกณฑ์การตรวจสอบแล้วเท่านั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทที่ประกอบธุรกิจสุจริต ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ว่า ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้ประกอบการ หากผลิตภัณฑ์นั้นถูกต้องตามมาตรฐาน
ดร.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า สิ่งข้างต้นต้องขอบคุณ รมว.อุตสาหกรรม ที่เป็นกลางกับการที่สั่งให้ตรวจสอบเพื่อความเชื่อมั่นระบบผลิตเหล็กเส้นของผู้ประกอบการไทย ที่ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ส่วนกรณี นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. เคยระบุข้อมูลคลาดเคลื่อนกรณีเหล็ก IF พร้อมยืนยันโรงงานไทยผลิตตามมาตรฐาน มอก.–EIA ทุกขั้นตอน ไม่พบปัญหาคุณภาพ และเตือนหากยกเลิกระบบ IF อาจเกิดการผูกขาด เหล็กขาดตลาด ราคาพุ่ง เพราะนายบัณฑูรย์ได้เสนอแนวคิดว่าในอนาคตไทยควรเลิกผลิตเหล็กจากระบบ IF แเละยังเสนอให้รัฐบาลกำหนดว่าการผลิตเหล็กของไทยต้องมาจากระบบ BOF และ EAF เท่านั้น
ดร.ศักดิ์ชัย กล่าวด้วยว่า กระเเสข่าวดังกล่าวได้ยินมาแล้วอีกครั้ง ว่าจะมีการเสนอภาครัฐให้พิจารณายกเลิกการผลิตเหล็กจากระบบ IF นั้น ข้อเท็จจริงในปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิดเหล็กจากระบบ IF จำนวน 11 แห่ง มูลค่าการลงทุน 3,000–4,000 ล้านบาท มูลค่าทางการตลาดราว 6–7 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งสัดส่วนทางการตลาดประมาณ 70% หากถามถึงเหล็กที่ผลิตจากระบบ IF เทียบกับเหล็กที่ผลิตจากระบบอื่น ๆ ขอชี้แจงว่าคุณภาพในทุกวันนี้แทบจะไม่แตกต่างกัน ยกเว้นเพียงเรื่องการติดสัญลักษณ์บนเหล็ก ว่าผลิตจากระบบ EF /BOF / IF ถ้าไม่มีการติดสัญลักษณ์ดังกล่าวไว้ ก็ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเหล็กเส้นนั้นมาจากระบบใด
สำหรับโรงงานผลิตเหล็กระบบ IF ทั้ง 11 แห่งในไทย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือกลุ่มที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของคนไทยที่นำเทคโนโลยี IF เข้ามาใช้ในประเทศ มีอยู่ราว 6–7 โรงงาน มีสัดส่วนประมาณ 30–40% และไม่เคยมีปัญหาใด ๆ แต่ต่อมาหลังปี 2016 รัฐบาลจีนมีการสั่งปิดโรงงานเหล็กบางส่วนเพื่อลดกำลังผลิต และได้รับการชดเชยจากรัฐบาลจีนในการปิดโรงงาน ทำให้โรงงานจากจีนบางแห่งย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย และอาเซียน โดยการลงทุนในไทยนั้นพบว่าผู้ประกอบการจากจีนดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และการเสริมการลงทุนของ BOI ในข่วงนั้น ซึ่งผู้ประกอบการของจีนในอุตสาหกรรมนี้มาลงทุนในกลุ่มโรงงานเหล็กระบบ IF ในไทย จนกำลังการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันครองตลาดประมาณ 70% โดยการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในด้านนี้ จนถึงปัจจุบัน BOI ยังคงให้การส่งเสริมอยู่ จริง ๆ แล้วอยากเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณายกเลิกการส่งเสริมนี้ได้แล้ว เพราะตอนนี้เรามีการผลิตเหล็กเพียงพอ และไม่ควรส่งเสริมเพิ่มอีก ควรหันมาช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาศักยภาพ เพื่อลดต้นทุนต่าง ๆ ในการผลิตเหล็กจะเหมาะสมกว่า
เมื่อถามว่า หากไทยจะมีการเปลี่ยนระบบการผลิตเหล็กจาก IF ไปเป็น EAG หรือ BOF ตามที่บางฝ่ายระบุจริง กรณีนี้ได้มีการเสนอให้ภาครัฐรับทราบ และได้หารือกับสมาคม ผู้ประกอบการทั้งหมดแล้วหรือไม่ ดร.ศักดิ์ชัยบอกว่า ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐมาหารือในเรื่องนี้ มีเพียงบางภาคเอกชนที่ปรากฏในข่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐยกเลิกการผลิตเหล็กระบบ IF เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วโรงงานผลิตเหล็กระบบ IF ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยทุกประการ ถ้ารัฐบาลจะยกเลิกนั้น ต้องมีการชดเชยด้านลงทุนและค่าเสียโอกาส รวมแล้วอาจสูงถึงหลักแสนล้านบาท ซึ่งสุดท้ายเงินที่ชดเชยก็ต้องมาจากภาษีประชาชน และราคาเหล็กในท้องตลาดจะแพงขึ้นมาก ฝ่ายได้ประโยชน์จริง ๆ คือกลุ่มโรงงานที่ใช้ระบบการผลิตชนิดอื่น ความเห็นของตนคือ เราไม่ควรไปปิดกั้นเทคโนโลยี เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะในยุค 5G และ 6G ถ้าปิดกั้นเทคโนโลยีการผลิต ก็เท่ากับทำให้ประเทศเสียโอกาส ทั้ง ๆ ที่สินค้าคุณภาพดีและต้นทุนต่ำมีอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช้ หากเปลี่ยนไปใช้ของที่แพงกว่า และเทคโนโลยีแตกต่างกันไม่มาก ผู้ที่เสียประโยชน์คือประเทศและผู้บริโภคคนไทย
ดร.ศักดิ์ชัย บอกด้วยว่า ในมุมมองของตน เราไม่ควรไปกำหนดว่าต้องใช้เทคโนโลยีแบบไหนในการผลิตสินค้า แต่ควรยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม (มอก.) ให้เข้มงวดมากขึ้น ตรวจสอบให้ทั่วถึงทั้งระบบ IF / EAF และ BOF เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าเหล็กที่ใช้ในประเทศมีมาตรฐาน ไม่ว่าจะผลิตจากระบบใดก็ตาม โดยแท้จริงแล้วทุกภาคส่วนที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กสนใจเพียงอย่างเดียว คือ คุณภาพสินค้า ถ้าพบว่าสมาชิกในสมาคมของตนรายใดผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน รัฐบาลสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที สมาคมไม่ปกป้องแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม ได้ไปตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตเหล็กระบบ IF แห่งหนึ่งใน จ.ปราจีนบุรี ทราบว่าไม่พบปัญหาใด ๆ ตรงนี้ขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรมที่สนใจ และติดตามการผลิตเหล็กด้วยระบบนี้ให้ได้มาตรฐาน เพราะเหล็กเป็นอุตสาหกรรมสำคัญเหมือนกระดูกสันหลังของประเทศ ใช้ในงานก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เหล็กระบบ IF ที่สมาคมผลิตมา 20 กว่าปี ไม่เคยมีปัญหาใด ๆ หากมีปัญหาเกิดขึ้นเราก็พร้อมรับการตรวจสอบและรับบทลงโทษทางกฎหมายทุกประการ โดยที่ผ่านมาอาจมีข่าวหรือกระแสบางอย่างที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเหล็ก IF ดูไม่ดี แต่สุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพเหล็ก โดยเฉพาะกรณีอาคาร สตง. ซึ่งภายหลังก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เกิดจากเหล็ก IF ดังนั้นหากประเทศไทยต้องยกเลิกการผลิตเหล็กด้วยระบบ IF และเปลี่ยนไปเป็นระบบ AIF หรือ BOF ต้องใช้เวลาศึกษาผลกระทบ สอบถามความเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ การวิเคราะห์ต้นทุนและการลงทุน การยกร่างกฎหมายที่ใช้เวลาหลายปี คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนกับราคาสินค้าในตลาด
ดร.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเห็นชัดว่าเมื่อมีการปิดโรงงานบางแห่งในไทย ราคาก็ขึ้นทันที เช่น ปิดไปเพียง 2 โรง ราคาก็เพิ่ม 3 บาทต่อกิโลกรัม หากปิดไป 70% ของกำลังผลิตในประเทศ ราคาน่าจะเพิ่มหลายเท่าตัว ซึ่งเป็นการกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง เพราะเหล็กคือความมั่นคงของชาติ หากไม่มีการผลิตในประเทศ แล้วเกิดวิกฤตโลกหรือสงครามขึ้นมา ประเทศที่ต้องนำเข้าเหล็กทั้งหมดก็จะเสียเปรียบทันที หากมีคำถามว่าวันนี้ประเทศใดยังใช้ระบบ IF บ้าง พบว่าจีน อินเดีย และยุโรปหลายประเทศยังใช้ โดยใช้ในงานที่แตกต่างกันไป ประเทศจีนเองยังใช้เตา IF ผลิตเหล็กสแตนเลสควบคู่กับเตาปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเพื่อให้ลดการปล่อยคาร์บอนตามแนวทาง Carbon Credit ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
ดังนั้นจะเห็นว่าระบบ IF ไม่ได้ล้าสมัย แต่ถูกปรับให้เหมาะสมกับประเภทเหล็ก และนโยบายสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ ประเทศอื่นยังใช้ และคุณภาพของเหล็กไทยก็สามารถแข่งขันได้ หากจะมีการเสนอให้ยกเลิกระบบ IF แล้วเปลี่ยนเป็น EF หรือ BOF ภาครัฐควรเปิดเวทีหารือร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต สมาคม และผู้บริโภค เพื่อศึกษารอบด้านอย่างแท้จริงก่อนตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีการผลิต แต่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของชาติโดยตรง