ห่วงเสียเปรียบบนเวทีโลก “เท้ง” เตือนสตินายกฯ โหนกระแสชาตินิยม

ห่วงเสียเปรียบบนเวทีโลก “เท้ง” เตือนสตินายกฯ โหนกระแสชาตินิยม

View icon 77
วันที่ 14 พ.ย. 2568 | 12.09 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เท้ง ณัฐพงษ์ เตือนสตินายกฯ ท่าทีพร้อมฉีกสัญญาสันติภาพ ทำไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก โหนกระแสชาตินิยมปกป้องคะแนนนิยมทางการเมือง เบี่ยงประเด็นออกจากสแกมเมอร์ แทนที่จะระดมโลกล้อมกัมพูชา

วันนี้ (14 พ.ย.68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวกรณีท่าทีของรัฐบาลไทยในการจัดการสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุดระหว่างไทยและกัมพูชา หลังเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทย โดยนายณัฐพงษ์ ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ จ.ส.อ. เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ จากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิด และขอประณามทุกการกระทำที่เป็นการลักลอบวางระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาในหลายประการ

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า การแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรี ว่าไทยจะไม่สนใจข้อตกลงสันติภาพอีกต่อไปแล้ว หลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย.68) ทำให้ตนมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ว่าเป็นท่าทีที่ขาดความละเอียดรอบคอบ อาจทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะไทยกลายเป็นฝ่ายด่วนประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้เสียเอง แทนที่จะใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของกัมพูชา และขอระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการกดดันกัมพูชาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบสแกมเมอร์

“แทนที่นายกฯ จะประกาศฉีกสัญญาสันติภาพ นายกฯควรแสดงออกด้วยการต่อสายตรงถึงตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ เช่น มาเลเซีย ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรือการต่อสายตรงถึงผู้นำสหรัฐอเมริกา ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพนี้ เพื่อขอให้สหรัฐฯ พิจารณาตัดความร่วมมือทางการทหารต่อกัมพูชา รวมถึงการใช้มาตรการกดดันอื่น ๆ เช่น มาตรการทางภาษีเพื่อทำให้กัมพูชายุติพฤติกรรมที่ชั่วร้ายเหล่านี้ในทันทีW

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า จากท่าทีของนายกรัฐมนตรีในตอนนี้ ตนมีข้อกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผู้สังเกตการณ์อาเซียนและนานาประเทศยังรับทราบข้อมูลไม่ตรงกับทางการไทย โดยสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คือ

1) ประเทศไทยเป็นฝ่ายประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้ก่อน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กำลังทำให้กัมพูชาเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์

2) แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฝ่ายแจ้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนก่อนถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีกลับปล่อยปละละเลยเวลาให้ผ่านออกไป จนกลายเป็นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเองที่แสดงบทบาทเตือนทั้งไทยและกัมพูชาก่อนเองว่าอย่าละเมิดข้อตกลงสันติภาพ

3) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 วันนี้ กัมพูชาได้อาศัยการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทยในการกลับไปเล่นบทบาทเดิม นั่นคือการปฏิบัติการยั่วยุและการสร้างข่าวเพื่อสร้างความเกลียดชังในเวทีโลก โดยใช้โครงเรื่องเดิมที่กัมพูชาทำมาโดยตลอด คือการเล่นบทเหยื่อและสร้างภาพว่าประเทศไทยกำลังรังแกประเทศที่ด้อยกว่า

4) กัมพูชามีที่ยืนในเวทีโลกเพิ่มขึ้นจากการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาจากการเล่นบทเหยื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กัมพูชากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู โลกกำลังล้อมกัมพูชาในเรื่องการปราบสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่กำลังหล่อเลี้ยงรัฐบาลฮุนเซน

ขณะที่ฮุน เซน กำลังเข้าตาจน ถูกโลกล้อมด้วยประเด็นสแกมเมอร์ การแสดงท่าทีของนายกฯ กำลังทำให้สังคมถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลกำลังถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงไม่จัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผนวกกับก่อนหน้านี้มีกรณีที่บุคคลในคณะรัฐมนตรี เช่น รมช.คลัง ที่ประกาศลาออกลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งนายกฯ เองก็ได้พูดต่อสาธารณะ ว่าเป็นคนร้องขอให้ รมช.คลัง ออกจากตำแหน่ง แต่นายกฯ กลับปล่อยปละละเลย ไม่ได้ร้องขอบุคคลอื่น ๆ อย่างเช่นรองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่อาจมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มทุนเทาต่าง ๆ

เมื่อเกิดกรณีเกี่ยวกับทุ่นระเบิดขึ้น แทนที่นายกรัฐมนตรีจะเร่งดำเนินการในปฏิบัติการให้โลกล้อมกัมพูชา ทั้งการละเมิดสัญญาสันติภาพและการผนึกกำลังกับนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบกัมพูชาในทุกประตู ทั้งในเรื่องความมั่นคงชายแดนและการปราบปรามทุนสีเทา นายกรัฐมนตรีกลับเลือกโหนกระแสชาตินิยมเพื่อปกป้องคะแนนนิยมของตัวเอง และกลบเกลื่อนการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงินที่กำลังกระทบรัฐบาลในขณะนี้

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ยังมีอีกหลายมาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้เพื่อจัดการปัญหาไทย-กัมพูชา หยุดการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงของไทยอย่างเด็ดขาด แทนการออกมาประกาศว่าพร้อมที่จะฉีกข้อตกลงสันติภาพนี้ คือ

1) การพูดคุยโดยตรงกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีน ให้พิจารณาตัดการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา เพื่อจบปัญหาสแกมเมอร์อันเป็นภัยต่อประชาชนทั้งโลก รวมถึงจีนและสหรัฐอเมริกา

2) ไทยควรตั้งผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานด้านการปราบปรามสแกมเมอร์ เช่นเดียวกับการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ International Anti-Corruption Coordination Centre (IACCC) เพื่อประสานให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาร่วมสืบสวนในกรณีดังกล่าวในประเทศไทยได้

3) สิ่งที่รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการได้ทันทีคือการอายัดทรัพย์และสืบเส้นเงินเครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศไทย เพื่อสาวถึงต้นตอของผู้บงการ ไม่ใช่การจับเพียงปลาตัวเล็กตัวน้อยเพื่อรักษาภาพของรัฐบาลต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยในวันนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงหลายประการ จากการแก้ไขปัญหากัมพูชาที่รัฐบาลไม่ได้สนใจผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง แต่ยึดคะแนนนิยมการเมืองเป็นที่ตั้ง ไทยตกเป็นจำเลยว่ากำลังเป็นแหล่งฟอกเงินให้กับสแกมเมอร์ ตกเป็นจำเลยสงครามข่าวของกัมพูชาว่าไทยกำลังรังแกประเทศเล็ก ให้ข้อมูลทุ่นระเบิดที่ไม่ตรงกับผู้สังเกตการณ์นานาชาติ และเสี่ยงถูกทุนเทาเข้ายึดประเทศผ่านการฟอกเงินมาทำธุรกิจในประเทศไทย การติดสินบนข้าราชการ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจ และผ่านการสนับสนุนเงินให้บรรดานักการเมืองที่มีอำนาจกำหนดนโยบายในระดับประเทศ

นายณัฐพงษ์ กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยในปัจจุบันต้องการนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ ตอบโต้อย่างมีสติและได้สัดส่วน และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้งมากกว่าการรักษาคะแนนความนิยมของตัวเอง ตนขอเรียกร้องดึงสตินายกรัฐมนตรีให้กลับมา และเร่งดำเนินการทั้ง 3 มาตรการข้างต้นในทันที

ข่าวที่เกี่ยวข้อง