เช้านี้ที่หมอชิต - มีรายงานข่าวว่า อัยการสูงสุด มีความเห็นให้อุทธรณ์คดี ม.112 ของ "นายทักษิณ" จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การทำแบบนี้ใช่การสกัดไม่ให้ "นายทักษิณ" เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า หรือไม่
22 สิงหาคม ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา คดีที่ "นายทักษิณ" ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 เนื้อหาถูกตีความว่า เข้าข่ายเป็นความผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่ศาลฯ พิเคราะห์ว่าคดีมีหลักฐานไม่เพียงพอ จะพิสูจน์ความผิดได้ตามที่ถูกกล่าวหา จึงยกฟ้อง
และคณะกรรมการอัยการ ก็เคยมีมติ 8 ต่อ 2 เสียง ไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว จนผ่านมาเกือบ 3 เดือน ระหว่างจะขยายเวลาพิจารณาเรื่องอุทธรณ์คดี วานนี้ก็มีรายงานข่าวว่า อัยการสูงสุด คนปัจจุบัน มีความเห็นให้ยื่นอุทธรณ์คดีนี้
จน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ว่า นี่เป็นแผนสกัด ทักษิณ ไม่ให้ออกมาก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า ทั้งที่ตามกระบวนการ นายทักษิณ จะรับโทษครบ 1 ใน 3 หลังรับโทษครบ 4 เดือน ก็สามารถยื่นขอพักโทษกรณีพิเศษสำหรับผู้มีอายุเกิน 70 ปี แต่หากนักโทษรายใดมีคดีต่อจะไม่ได้รับการพิจารณา เพราะถือว่า "มีคดีต่อ" เป็นเรื่องที่นักโทษเก่ารู้กันดี จึงมองว่า นี่คือแผนสกัดไม่ให้ "ทักษิณ" ออกจากเรือนจำก่อนเลือกตั้ง ต้องอยู่ในนั้นยาวจนครบ 1 ปี
เรื่องนี้สื่อก็นำไปถามครอบครัวชินวัตร ที่ไปเยี่ยม นายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นำทีมโดย นายพานทองแท้ หรือ โอ๊ค พร้อมภรรยา และ นางสาวพินทองทา หรือ เอม ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ บอกว่า พ่อเสียใจ หลังจากนี้คงต้องวางแผนสู้
ด้าน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ขอแค่ฟัง ไม่ขอออกความเห็นตามที่นายชูวิทย์โพสต์ แต่ส่วนตัวเห็นว่า การพักโทษ กับ การอุทธรณ์คดี ไม่เกี่ยวข้องกัน และยังไม่ถึงขั้นจะร้องขอความเป็นธรรมเรื่องนี้ แต่ตนในฐานะเป็นทนายก็ต้องเตรียมพร้อมสู้คดีต่อ
ยังมีรายงานข่าวว่า เรื่อง อัยการสูงสุด มีความเห็นควรอุทธรณ์คดี มีการร่างความเห็นส่งให้กับคณะทำงานไปพิจารณาแล้วจริง แต่คณะทำงานยังไม่ได้รับร่างคำสั่งดังกล่าว จึงเท่ากับยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลฯ แต่อย่างใด
ส่วนอีกวิบากกรรมที่เกิดกับ "นายทักษิณ" คือ ผลคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1.76 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 2 ศาลฯ แรก "นายทักษิณ" ชนะคดี แต่ศาลฯ สุดท้าย "ศาลฎีกา" พิพากษากลับว่า "กรมสรรพากร" ประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจาก นายทักษิณ รวมเป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท เพราะ "นายทักษิณ" เป็น "ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง" จากการขายหุ้น แม้จะให้บุตรเป็นผู้ถือครองแทนก็ตาม
เบื้องต้น คาดเรื่องการบังคับคดีจะมีการยื่นในอีก 1-2 เดือน ก่อนดำเนินการยึดทรัพย์มาชำระภาษีต่อไป