สนามข่าว 7 สี - ไทยเดินเกมรุกฟ้องโลก กรณีกัมพูชาเป็นปฏิปักษ์ลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ จนเป็นเหตุให้ไทยต้องระงับปฏิญญาร่วม และเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ กระตุ้นให้กัมพูชารับผิดชอบกับการกระทำ
กระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่จดหมายของนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเซียร์ราลีโอน ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
เนื้อหามี 10 ข้อโดยได้ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคมที่ไทย-กัมพูชาได้ลงนามปฏิญญาร่วมกัน จนมาถึงเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน และเหตุการณ์วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ทหารกัมพูชาจงใจยิงใส่ทหารไทยที่บ้านหนองหญ้าแก้ว
ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และเป็นเรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง ที่หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนกัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จกล่าวหาว่าเหตุการณ์เริ่มโดยฝ่ายไทย
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นการยั่วยุที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าโดยกัมพูชา ดูเหมือนมีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทุ่นระเบิดล่าสุด และไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา
โดยการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา มีแต่จะเพิ่มความตึงเครียด และเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลง ซึ่งเป็นการขัดขวางความพยายามของทุกฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างสันติ และเป็นการกัดกร่อนความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
ขณะที่เมื่อวาน สื่อฯ กัมพูชา รายงานว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้กล่าวในงานการประชุมสงฆ์ประจำปี ครั้งที่ 33 โดยพูดหลายประเด็นเกี่ยวกับไทย ทั้ง เรื่องทหารกัมพูชา 18 นายที่อยู่ในการควบคุมตัวของไทย เรื่องการค้าและการเปิดด่านชายแดน รวมถึงเรื่องปฏิญญาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา
สมเด็จฯ ฮุน เซน กล่าวอ้างว่า ไทยเจตนายั่วยุให้เกิดความขัดแย้งหลังยิงใส่พลเรือนที่หมู่บ้านเปรยจันรอบล่าสุด แต่รัฐบาลกัมพูชาสั่งไม่ให้กองทัพกัมพูชาตอบโต้ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเชื่อว่าการสู้รบจะทำให้พลเรือนได้รับผลกระทบ รวมถึงกัมพูชาเคารพในปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา
สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างอีกว่ากัมพูชาไม่มีเหตุผลใดให้โจมตีประเทศอื่น แต่ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน
ส่วนทหารกัมพูชา 18 นายที่ยังอยู่ในการควบคุมของไทย สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างว่า ทหารทั้ง 18 นายเป็น "ผู้พลีชีพเพื่อชาติ" และไม่ใช่เชลยศึก แต่เป็นตัวประกันเพื่อใช้เป็นข้อต่อรอง
นอกจากนี้ยังอ้างว่ากลิ่นเหม็นบริเวณชายแดน คือ กลิ่นศพของทหารไทยที่เสียชีวิต พร้อมขู่ดำเนินคดีประชาชนชาวกัมพูชา หากพบว่ามีผู้กระทําการยุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ
อีกกรณีที่เป็นที่วิจารณ์อย่างหนัก คือ บนเวทีประกวดนางงามของกัมพูชา มีผู้ประกวดคนหนึ่งร้องไห้บนเวที กล่าวหาว่าไทยรังแกกัมพูชา และอ้างว่าไทยเปิดฉากทำสงครามโจมตี จนชาวกัมพูชาต้องอพยพหนีตาย และโบราณสถานเสียหาย
และที่ร้องไห้หนัก คือ เห็นใจเชลยศึกที่ถูกจับ โดยส่งกลับมาเพียงแค่ 2 คน ส่วนอีก 18 คนยังถูกควบคุมตัวเอาไว้
สำหรับเชลยศึก 2 คนที่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อน จากการตรวจสอบพบว่า 1 ในนั้นกำลังถูกสื่อฯ กัมพูชาประโคมข่าวให้เป็นฮีโรทหาร เพราะมีจิตวิญญาณต้องการรับใช้ชาติ ทั้ง ๆ ที่ก่อนส่งตัวกลับได้ทำเอกสารสัญญาว่าจะไม่ทำการรบอีก
ซึ่งปรากฏว่ากองทัพภาคที่ 2 ของไทย ชี้แจงว่า ทหารนายดังกล่าวชื่อว่า "ซึม ซ็อมแอง" เป็นเชลยศึกที่ถูกไทยควบคุมตัวไว้ในช่วงการสู้รบ ก่อนปล่อยตัวกลับไปเพราะป่วยหนัก ทั้งยังมีอาการพิษสุราเรื้อรัง และเสียสติจากความเครียดระหว่างการรบ ซึ่งการที่กัมพูชานำเอาบุคคลที่มีอาการทางจิตเภท หรือเสียสติมาทำการรบ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีความปลอมเกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งกระแสข่าวทหารไทยเตรียมโจมเมืองแห่งหนึ่งในกัมพูชา หรือทหารไทยทำร้ายร่างกาย และข่มขืนแรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดนี้กองทัพบกชี้แจงแล้วว่า "เป็นข่าวปลอม"