จับกุมสาว PR ผันตัวเป็นเอเยนต์เปิด “บัญชีม้า” ส่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างหาเงินเลี้ยงลูก พบมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 125 ล้านบาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย (กองบังคับการตำรวจทางหลวง) ร่วมกันจับกุม นางสาวภรณ์ อายุ 27 ปี เป็นบุคคลตามหมายจับของ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ศาลศาลอาญา โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์บัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือกิจการที่ตนเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชกรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และร่วมกันฟอกเงิน”
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้ทำการสืบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิด จนสืบทราบว่ามี นส.ภรณ์ อายุ 27 ปี เป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี และ ศาลอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับ การร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,การใช้บัญชีม้าและการฟอกเงินซึ่งเป็นอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนจำนวนมาก จึงได้สืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว และสามารถติดตามจับกุมตัวได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ตรวจสอบคดีตามหมายจับของศาลจังหวัดอยุธยา พบว่า ผู้เสียหายถูกคนร้ายหลอกให้ร่วมลงทุนคริปโทเคอเรนซีผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยอ้างผลตอบแทนสูง และเร่งรัดให้รีบโอนเงิน ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อและโอนเงินหลายครั้ง รวม 1,586,000 บาท แต่ไม่สามารถถอนเงินหรือขอคืนได้ จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่าเงินถูกส่งต่อเข้าบัญชีของผู้ต้องหาในขบวนการฟอกเงิน และถูกโอนกระจายไปหลายบัญชีเพื่อปกปิดร่องรอย ตามรูปแบบที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้กัน โดยพบมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 125 ล้านบาท และมีผู้ต้องหาตามหมายจับแล้ว 23 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดมาดำเนินคดี
ในส่วนคดีของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า ผู้เสียหายรายหนึ่งถูกหลอกสมัครงานผ่านเฟซบุ๊ก โดยเชื่อคำโฆษณาเงินเดือนสูง มีสวัสดิการครบ เมื่อพูดคุยกับผู้ใช้ไลน์ชื่อ “ฟาง HR” ถูกนัดหมายให้เดินทางไป อ.อรัญประเทศ เพื่อมีรถรับไปทำงาน แต่กลับถูกลักลอบพาข้ามแดนเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านช่องทางธรรมชาติ และถูกนำตัวขึ้นอาคารสูง 15 ชั้นในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ชาวจีน มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ภายในมีการสัมภาษณ์งานใหม่และสั่งให้ทำงานลักษณะ “ฟิวแฟน” หรือการหลอกเหยื่อทางออนไลน์ให้หลงรักแล้วชักชวนลงทุน (Hybrid Scam) หากไม่ทำงานต้องจ่ายเงินซื้อตัวออก 100,000 บาท ผู้เสียหายจึงถูกบังคับทำงานกว่า 5 เดือน ได้ค่าแรงเพียง 500 ดอลลาร์/เดือน ต้องทำยอดหลอกเหยื่อเดือนละ 230,000 บาท โดยทีมงานทั้งหมด 45 คน แบ่งหน้าที่ชัดเจน และใช้ Telegram ประสานงาน โดยมีหัวหน้าทั้งชาวจีนและชาวไทยควบคุมอย่างใกล้ชิด จนผู้เสียหายอาศัยจังหวะหลบหนีลงจากระเบียงชั้น 10 และถูกผลักดันกลับไทยผ่านด่าน ตม.สระแก้ว ก่อนมาให้ข้อมูลกับตำรวจ คดีนี้พบการใช้บัญชีของ น.ส.ภรณ์ ในการรับ–โอนเงินเ พื่อฟอกเงิน รวมความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้อง
ในส่วนคดีของศาลอาญา ผู้เสียหายรู้จักคนร้ายผ่านแอป Litmatch เริ่มจากการพูดคุยสร้างความสนิทสนม ก่อนชวนไปคุยต่อในไลน์ คนร้ายแสดงตนเป็น หัวหน้าวิศวกรบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง มีการวิดีโอคอลและส่งภาพประกอบสร้างความน่าเชื่อถือ ต่อมาชักชวนผู้เสียหายลงทุนใน “กองทุนออมเงิน” เพื่อสร้างอนาคต พร้อมส่งเว็บไซต์ปลอมลวงให้โอนเงินรวม 11 ครั้ง เป็นเงิน 464,767 บาท เมื่อขอตรวจสอบพอร์ตการลงทุนกลับถูกบ่ายเบี่ยง ผู้เสียหายตรวจสอบกับบริษัทที่ถูกแอบอ้าง จึงทราบว่าไม่มีพนักงานชื่อนี้อยู่จริง และมีเหยื่อรายอื่นถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน ตำรวจตรวจสอบเส้นทางการเงินพบการใช้บัญชีของ น.ส.ภรณ์ เช่นเดียวกับคดีก่อนหน้า ความเสียหายรวมหลายร้อยล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี
จากการสอบปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้ว่า ตนไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลอกเหยื่อโดยตรง แต่ยอมรับว่าได้เปิดบัญชีให้เครือข่าย โดยมีผู้รู้จักชักชวนให้เปิดบัญชีออนไลน์ ได้ค่าจ้างบัญชีละ 4,000 บาท พร้อมจัดที่พักให้ที่ฝั่ง สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ผู้ต้องหาจึงเดินทางไปเปิดบัญชีจำนวน 3 บัญชี ได้ค่าตอบแทนรวม 15,000 บาท ต่อมามองว่าเป็นช่องทางหารายได้ง่าย จึงชักชวนเพื่อนและคนรู้จักเปิดบัญชีเพิ่ม และแนะนำให้เดินทางไปพื้นที่ จ.สระแก้ว–กัมพูชา และ อ.แม่สาย–สปป.ลาว เพื่อเปิดบัญชีให้เครือข่าย โดยได้รับค่าคอมมิชชันบัญชีละ 1,000 บาท
นส.ภรณ์ ฯ รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีตามหมายจับนี้มาก่อนแต่อย่างใด จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป