ทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 40 ชีวิต จากหลายประเทศ ร่วมกันร่างแผนงาน “ทำฟาร์มบนอวกาศ” เพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตของมนุษย์ในระยะยาวบนดวงจันทร์-ดาวอังคาร และนำพืชจากดวงจันทร์กลับสู่พื้นโลก สำหรับการพัฒนาเกษตรกรรมบนโลก
วันนี้ (28 พ.ย. 68) สำนักข่าว “ซินหัว” รายงานว่า มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นของออสเตรเลีย แถลงว่าได้ร่างแผนโครงการใช้พืชเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตของมนุษย์ในระยะยาวบนดวงจันทร์และดาวอังคาร โดยใช้เทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงการผลิตอาหารที่ยั่งยืนบนโลก
โดยได้ระดมนักวิทยาศาสตร์กว่า 40 คนจากหลายประเทศและหลายหน่วยงานอวกาศ มาร่วมพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านพืชที่จำเป็นต่อการสร้างระบบสนับสนุนการดำรงชีวิตด้วยพืชแบบพึ่งพาตนเอง สำหรับภารกิจสำรวจอวกาศห้วงลึกในอนาคต ระบบเหล่านี้จะช่วยปลูกอาหารสด รีไซเคิลน้ำและอากาศ และสนับสนุนสุขภาพและสวัสดิภาพของนักบินอวกาศ
ทางผู้เขียนการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารนิว ไฟโตโลจิสต์ (New Phytologist) ได้เสนอกรอบงานใหม่ชื่อ "ระดับความพร้อมของระบบช่วยชีวิตแบบฟื้นฟูทางชีวภาพ" (Bioregenerative Life Support System Readiness Level) สำหรับวัดประสิทธิภาพการรีไซเคิลสารอาหารของพืช บำบัดน้ำ สร้างออกซิเจน และให้สารอาหารในแหล่งที่อยู่อาศัยในอวกาศ เพื่อเป็นแนวทางให้กับภารกิจในอนาคต
โดยแผนงานนี้เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าล่าสุดในด้านวิทยาศาสตร์พืชสำหรับอวกาศ เช่น ชีววิทยาสังเคราะห์ การตรวจจับที่แม่นยำ และการเกษตรในสภาพแวดล้อมควบคุม
ทางนักวิจัยเผยว่า ภารกิจดังกล่าวจะช่วยกำหนดลำดับความสำคัญก่อนเริ่มภารกิจอาร์เทมิส3 (Artemis III) ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ ในปี 2027 ซึ่งจะส่งมนุษย์ไปยังพื้นผิวดวงจันทร์ และจะมีการทดลองผลกระทบที่สภาพแวดล้อมบนดวงจันทร์มีต่อพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นความพยายามครั้งแรกในการปลูกและนำพืชจากดวงจันทร์กลับสู่พื้นโลก
ขณะที่ “ซิกเฟรโด ฟูเอนเตส” ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า การออกแบบระบบปลูกพืชสำหรับดวงจันทร์ให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการพัฒนาเกษตรกรรมบนโลก โดยได้ศึกษาร่วมกับนักวิจัยจากทั่วโลกว่าจะสามารถปรับปรุงให้พืชเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์และดาวอังคารได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังเสริมว่าอวกาศผลักดันให้เราออกแบบระบบพืชที่มีประสิทธิภาพสูง ยืดหยุ่น และตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้ปลูกอาหารได้อย่างยั่งยืนในชุมชน เมือง และภูมิภาคห่างไกลที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง