ท่ามกลางสถิติที่น่ากังวล คาดว่าประเทศไทยปี 2567 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากถึง 565,598 คน และส่วนใหญ่ยังคงติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดย ไม่ป้องกัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความตระหนักรู้ด้านการป้องกันอย่างจริงจัง เนื่องในวันที่ 1 ธันวาคม “วันเอดส์โลก” องค์การอนามัยโลกจึงเน้นย้ำให้สังคมร่วมกันผลักดันงานด้านเอชไอวี ภายใต้แนวคิด “Overcoming disruption, transforming the AIDS response: ก้าวข้ามวิกฤต พลิกโฉมงานเอดส์” เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันป้องกัน ดูแลรักษา และลดการตีตราผู้ติดเชื้ออย่างจริงจัง พร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์อย่างยั่งยืนในปี 2573
องค์การอนามัยโลก กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ส่งเสริมให้สังคมเข้าใจ ยอมรับและอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างไม่ตีตรา และในปีนี้ได้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ คือ “Overcoming disruption, transforming the AIDS response: ก้าวข้ามวิกฤต พลิกโฉมงานเอดส์” เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการยืนหยัดและผลักดันการดำเนินงานเอชไอวี ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเท่าทันต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านสังคม เทคโนโลยี และพฤติกรรมของประชาชน เพื่อให้การป้องกันและการดูแลรักษาเอชไอวีมีประสิทธิภาพสูงสุด และนำไปสู่เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์อย่างยั่งยืน
ประเทศไทยเร่งรัดการยุติปัญหาเอดส์ให้สำเร็จภายในปี 2573 ตามเป้าหมาย 3 ประการ “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา” โดยมุ่งหวังลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกิน 1,000 รายต่อปี ลดการเสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10
สถานการณ์เอชไอวี ประเทศไทยในปี 2567 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 565,598 คน ผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ 9,067 คน และผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 8,124 คน โดยร้อยละ 96.4 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินงานสร้างความตระหนักในการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญ และสามารถป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน มุ่งขับเคลื่อนงานเอชไอวี/เอดส์ เชิงรุกครอบคลุมทั้งการป้องกัน การตรวจคัดกรอง และการดูแลรักษา พร้อมก้าวข้ามข้อจำกัด พลิกโฉมระบบบริการด้านเอชไอวีให้มีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ยั่งยืน และเท่าเทียม โดยเน้นการสร้างความเข้าใจให้ประชาชน รอบรู้เรื่องสิทธิ ป้องกันรอบด้าน เลือกได้ตามวิถีที่ต้องการ
รอบรู้เรื่องสิทธิ
- คนไทยทุกคนมีสิทธิประโยชน์ด้านเอชไอวีฟรี ทั้งด้านการป้องกัน การตรวจคัดกรอง และการดูแลรักษา
ป้องกันฟรี
- ถุงยางอนามัย รับได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุข โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล องค์กรภาคประชาสังคม ร้านขายยา หรือผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
- เพร็พ หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) รับบริการได้ที่หน่วยบริการสุขภาพที่ร่วมจัดบริการกับ สปสช. สามารถค้นหาพิกัดรับยาได้ที่ https://buddystation.ddc.moph.go.th/services_clinic-2/
- เป๊ป หรือยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) รับบริการได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งการให้บริการ
ตรวจฟรี
- ตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง ได้ที่โรงพยาบาลภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ
- ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) รับฟรีได้ที่หน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. หน่วยบริการภาคประชาสังคม หรือผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
รักษาฟรี
- ด้วยยาต้านเอชไอวีแบบรวมเม็ด (ARV) เริ่มยาได้ทันทีในวันที่ทราบผลการติดเชื้อ หรือโดยเร็วที่สุด ที่โรงพยาบาลตามสิทธิการรักษา
- กินยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จะช่วยกดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำกว่า 200 copies/ml หรืออยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable) และไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่น (Untransmittable) ลดโอกาสการเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
ป้องกันรอบด้าน เลือกได้ตามวิถีที่ต้องการ
ทางเลือกในการป้องกันที่ทุกคนเลือกได้ ตามความเสี่ยงของตนเอง เพื่อความปลอดภัยด้วย ถุงยางอนามัย เพร็พ เป๊ป
- ใช้ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับทุกคน ทุกช่องทาง ป้องกันทั้งเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และเลือก - เก็บ - ใช้ - ทิ้ง ให้ถูกวิธี เพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- เพร็พ หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวีเป็นประจำ เช่น ผู้ที่คู่นอนมีเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ก่อนเริ่มยาต้องตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อเอชไอวี มีทั้งรูปแบบกินทุกวัน (Daily) และแบบกินเฉพาะช่วง (On Demand) อย่างไรก็ตาม PrEP สามารถป้องกันได้เฉพาะเอชไอวีเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อการป้องกันอย่างครอบคลุม
- เป๊ป หรือยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) ใช้สำหรับป้องกันหลังสัมผัสความเสี่ยง เช่น ถูกเข็มที่มีเลือดเจาะตำ เลือดหรือน้ำคัดหลั่งกระเด็นเข้าตา ปาก หรือบาดแผล ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือถุงยางอนามัยแตก โดยควรเริ่มกินยาให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ และกินอย่างต่อเนื่องตรงเวลาจนครบ 28 วัน
การดำเนินงานยุติเอดส์ในประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม องค์กร ชุมชน และประชาชนทุกคนร่วมกัน “ก้าวข้ามวิกฤติ” ด้วยพลังการมีส่วนร่วม และ “พลิกโฉมงานเอดส์” ด้วยระบบริการที่เข้าถึงและเท่าเทียม เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันเชิงรุก สร้างพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม ให้ทุกคนรอบรู้สิทธิ ตรวจเมื่อเสี่ยง รักษาทันทีเมื่อพบเชื้อ เพื่อเป้าหมายในการลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสู่การยุติเอดส์ภายในปี 2573 อย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูล กรมควบคุมโรค