“สีหศักดิ์” ย้ำ ชายแดนไทยกัพูชา ต้องไม่มีเหยื่อรายต่อไป

“สีหศักดิ์” ย้ำ ชายแดนไทยกัพูชา ต้องไม่มีเหยื่อรายต่อไป

View icon 142
วันที่ 6 ธ.ค. 2568 | 09.04 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ไทยไม่ยอม! งัดหลักฐานโต้กัมพูชาในเวทีนานาชาติ ชัดเจนเขมรวางทุ่นระเบิด “สีหศักดิ์” ย้ำ ต้องไม่มีเหยื่อรายต่อไป ขณะที่เลขาฯ C.M.A.A. พร้อมมีส่วนร่วมในการตั้งคณะสอบข้อเท็จจริง

เวลาประมาณ 15.40 น. วันที่ 5 ธ.ค.68 ตามเวลาท้องถิ่น ของนครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง  นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (22MSP) ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญา ว่า เมื่ออนุสัญญานี้ถูกให้การรับรองในปี พ.ศ. 2540 รัฐภาคีได้ให้คำมั่นว่าจะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” โดยตั้งอยู่บนฉันทามติร่วมกันว่า ไม่มีประเทศประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดสามารถอ้างเหตุผลเพื่อใช้อาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกหน้าเช่นนี้ได้ ประเทศไทยจึงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ และหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในที่ประชุม

นายสีหศักดิ์ ระบุอีกว่า ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียด หรือ ทำให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ และต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อย่างไรก็ตาม จากดารประเมินที่เป็นอิสระ และจากของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยืนยันว่าทุ่นระเบิด PMN-2 เหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา ซึ่งเรามีหลักฐานเป็นวิดีโอที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการฝึกอบรมบุคลากรกัมพูชาในการติดตั้งทุ่นระเบิด นี่จึงถือเป็นการละเมิดต่อข้อ 1 ของอนุสัญญาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน และละเมิดต่อหลักการด้านมนุษยธรรม ที่เป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญานี้

อย่างไรก็ดี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้อ้างข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอให้กัมพูชาชี้แจง เพราะหลักการแห่งความน่าเชื่อถือของอนุสัญญานี้เรียกร้องให้เราต้องทำเช่นนั้น เราจึงได้ใช้กลไกทวิภาคีทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์ แต่คำตอบของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ได้รับการยืนยันและมีการตรวจสอบแล้ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับแบบแผนของข้อมูลบิดเบือน

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฉบับนี้โดยตรง เพราะหากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่ได้ และทำการปฏิเสธ โดยไม่ต้องรับผลใด ๆ ก็จะทำให้มีผู้บาดเจ็บและความสูญเสียครั้งต่อไป ประเทศไทยจึงเชื่อว่าหนทางที่สร้างสรรค์ ยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย คือการขอให้เลขาธิการสหประชาชาติใช้อำนาจตามตำแหน่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระโดยเร็ว เพื่อขจัดการเมืองออกจากประเด็นดังกล่าว และอาศัยกลไกของอนุสัญญาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง 

ดังนั้นประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณต่อประธานรัฐภาคี คณะกรรมการความร่วมมือด้านการปฏิบัติตามอนุสัญญา เลขาธิการสหประชาชาติ และสำนักเลขาธิการ ที่ได้อำนวยความสะดวกในการร้องขอการชี้แจง ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างครบถ้วน และขอให้รัฐภาคีต่างๆ กระตุ้นให้กัมพูชามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และสุจริตใจ ซึ่งจุดยืนของไทยนั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา คือไม่ควรมีทุ่นระเบิดอีกต่อไป ไม่ควรมีเหยื่อรายใหม่อีก และไม่ควรปล่อยให้กฎเกณฑ์ที่คุ้มครองเราทุกคนอ่อนแอลง

จากนั้น ฝ่ายกัมพูชา นำโดย นาย ลี ธุช รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ขององค์การกำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา ได้กล่าวต่อ ว่าข้อกล่าวหาที่ไทยพูดมาไม่ได้มีการพิสูจน์ ส่งผลให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการทางทหาร และเจอกับข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน รวมทั้งไม่มีการสอบสวนโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระ จึงเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ประเทศไทยไม่ได้แสดงถึงความจริงใจ และไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ทั้งที่ประเด็นดังกล่าวควรนำมาหารือในกรอบทวิภาคีและกลไกที่จัดตั้งขึ้นระหว่างสองประเทศ ผ่านการเจรจาที่สร้างสรรค์  จึงขอให้ทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน เพื่อยึดมั่นต่อการค้นหาความจริง และยึดมั่นต่อความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาฯ แทนการเผชิญหน้า

ด้าน นางสาวอุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา จึงได้ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งแรก โดยได้เปิดวิดีโอการแสดงการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2  ซึ่งเก็บได้จากกล้องโทรศัพท์ของทหารกัมพูชา รวมถึงเอกสาร AOT ของฝ่ายไทยที่ระบุว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดใหม่ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ประท้วง โดยอ้างว่าการตอบโต้ควรนำเสนอเพียงแค่คำพูดเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของฝ่ายไทยจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม  อย่างไรก็ดี  นางสาวอิชิกาวะ โทมิโกะ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ระบุว่า ถึงแม้จะมีการจำกัดให้ใช้เพียงคำพูดในการตอบโต้ แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดเนื้อหาที่ใช้สำหรับการตอบโต้ จึงขอให้ฝ่ายไทยชี้แจงต่อไป

นางสาวอุศณา กล่าวต่อว่า เนื่องจากกัมพูชายังคงปฏิเสธการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญา และกล่าวหาว่าไทยนำกรณีทหารไทย 7 นาย สูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิดมาเป็นเรื่องการเมือง ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงบางส่วนของหลักฐานต่อที่ประชุมนี้ ก่อนเปิดสไลด์ที่ 1 ซึ่งเป็นภาพทหารไทยกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือจากพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยถูกกองทัพกัมพูชาครอบครองระหว่างเหตุความขัดแย้ง แต่ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว และสไลด์ที่ 2 ซึ่งเป็นวิดีโอเจ้าหน้าที่กัมพูชาขณะกำลังฝึกฝนการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 จึงแสดงให้เห็นว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิด ไม่ใช่การเก็บกู้ และ สไลด์ที่ 3 ซึ่งเป็นภาพถ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram สะท้อนว่ากัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

จากนั้น นาย ลี ปันหริธ เลขาธิการหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือเหยื่อแห่งกัมพูชา หรือ C.M.A.A. ได้ใช้สิทธิกล่าวตอบโต้ไทยรอบแรก ว่า กัมพูชายืนยันความพร้อมในการเข้าร่วมการสอบสวนรวมถึงการพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ แต่เสียใจที่ไทยได้นำเสนอหลักฐานนี้ขึ้นมา โดยไม่ได้มีการพูดคุย หรือ ปรึกษาหารือกันก่อน แทนที่จะมีการทำงานร่วมกัน หรือ มีการตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ทั้งที่ คณะ AOT มีทั้งหมดสองกลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่ปฏิบัติการในกัมพูชา และ2.กลุ่มที่ปฏิบัติการในไทย แต่ที่ผ่านมาทั้งสองไม่เคยปฏิบัติการร่วมกันเลย อีกทั้ง การสอบสวนต่างๆของไทยก็ทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญ หรือ AOT เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นกัมพูชาขอเรียกร้องให้มีการตั้งทีมสอบสวนขึ้นทันที เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากกัมพูชาและไทย และจาก AOT ของทั้งสองประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของการสอบสวนระหว่างประเทศอย่างที่ควรจะเป็น

ต่อจากนั้น นางสาวอุศณา ได้ใช้สิทธิตอบโต้เป็นครั้งที่สอง โดยกล่าวว่า ประเด็นที่คณะผู้แทนกัมพูชาเพิ่งหยิบยกขึ้นมา คือเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศไทยจึงได้เสนอให้มีการใช้อำนาจของเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ หากกัมพูชาดำเนินการด้วยความสุจริตใจ และมีความโปร่งใสเพียงพอ ก็ควรเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา ซึ่งมีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสตลอดกระบวนการภายใต้ข้อ 8 เราได้อำนวยความสะดวกให้บุคคลที่สาม รวมถึงองค์กรรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด (ICBL) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย  ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กลไกทวิภาคีตามที่ไทยและกัมพูชาตกลงร่วมกัน โดยมีทูตทหารของมาเลเซียดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะ และมีผู้แทนจากสิงคโปร์และบรูไน เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนได้ดำเนินกระบวนการตรวจพิสูจน์ และได้สรุปไว้ในรายงานว่า “ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ล้วนเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางใหม่ทั้งหมด”

ต่อจากนั้น นายดารา อิน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ใช้สิทธิตอบโต้ไทยเป็นครั้งที่สอง ว่า กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าได้วางทุนระเบิดใหม่ พร้อมโต้แย้งว่าหลักฐานที่ไทยยื่นมาไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจสอบเชิงประจักษ์ หรือ การตรวจสอบโดยอิสระ ดังนั้นจึงขาดความเป็นกลาง และบั่นทอนเจตนารมย์ของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ