เช้านี้ที่หมอชิต - การอพยพของชาวบ้านรอบนี้ ไม่ใช่แค่จะต้องห่างบ้านเท่านั้น แต่บุคคลอันเป็นที่รักต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ถึง 2 คน
เราขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ นายประหยัด อายุ 55 ปี ชาวบ้านกรวด จังหวัดบึุรีรัมย์ ที่อาการโรคหัวใจกำเริบ ระหว่างอพยพมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงในจังหวัดบุรีรัมย์ แม้เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จะพยายามทำ CPR ช่วยชีวิต และรับพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้
บางครอบครัว ถึงกับต้องอุ้มมาที่จุดพักพิง เพราะอายุมากแล้ว เช่น นางพั้ว ศรรักพงษ์ อายุ 103 ปี ชาวอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เดิมที เจ้าตัวเสียงแข็ง ไม่ยอมย้ายไปไหน จะขอตายที่บ้าน แต่ลูกหลานไม่ยอม ดึงดันอุ้มตัวขึ้นรถ และพามาอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน
ชาวเน็ตนำมาโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นผู้สูงอายุและน่าจะมีอาการป่วย นั่งอยู่บนรถเข็น และถูกนำขึ้นท้ายกะบะ เพื่ออพยพออกมาจากหมู่บ้าน โดยมีลูกหลานคอยนั่งดูอาการอยู่ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นครอบครัวที่ขอติดอาศัยมากับรถกระบะคันนี้
ตลอดคืนที่ผ่านมา ชาวบ้านที่อยู่ตามแนวจุดปะทะ ยังคงอพยพออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ ทำให้การจราจรติดสะสมบางช่วง
ผู้อพยพบางคน ถึงกับโพสต์ไว้แบบนี้ "เราหลีกทางให้แล้ว เอาให้จบ รบให้เด็ดขาด เอาให้มันขยาด แล้วค่อยลากขึ้นโต๊ะเจรจา อย่าให้เราคนชายแดนต้องอพยพกันหลายรอบแบบนี้ มันไม่สนุกเลยคะเสียเวลาทำมาหากิน" #คนชายแดน #อพยพรอบ2 #บ้านติดชายแดน #พนมดงรัก
หลายชุมชน ที่ชาวบ้านไม่ยอมอพยพ ไม่ใช่ว่าจะห่วงทรัพย์สิน แต่ห่วงสัตว์เลี้ยงอย่างวัว-ควาย ที่มีอาการตื่นกลัวจากเสียงกระสุนและระเบิด จนหนีเตลิดออกมาอยู่กลางทุ่งนา
"บุ๋ม ปนัดดา" ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี เสร็จภารกิจจากน้ำท่วมภาคใต้ ก็สั่งทีมงานลุยต่อทันที เดินทางต่อไปยังศูนย์พักพิงที่จังหวัดสุรินทร์ 1 ใน 4 จุด ที่มูลนิธิฯ รับผิดชอบ นอกเหนือจากที่ศรีสะเกษ และสระแก้ว
คุณบุ๋ม บอกว่า พี่น้องประชาชนที่อพยพออกมา ไม่เห็นแม้แต่รอยยิ้มสักคน หลายคนมีอาการกังวล และสีหน้าเคร่งเครียด แต่ทุกคนยังยืนหยัดสนับสนุนให้ทหารปกป้องผืนแผ่นดินไทย ส่วนมูลนิธิฯ ก็ขอเป็นพลังเล็ก ๆ ดูแลคนข้างหลัง โดยการเปิดโรงครัว เพราะอยากเห็นรอยยิ้มในภาวะแบบนี้