เพจดังตั้งคำถาม กัมพูชาได้ระบบจรวดนำวิถีต่อต้านรถถังรุ่นใหม่ ของจีน มาใช้ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา ได้อย่างไร ภายใต้กรอบใด มาจากตลาดมืดหรือไม่ และใครคือผู้สนับสนุนอาวุธเหล่านี้
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (14 ธ.ค.68) เพจปราชญ์ สามสี ให้ความเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า เข้าสู่วันที่ 6 ของสมการ 8 วัน ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เริ่มต้นตั้งแต่ วันที่ 9 ธ.ค.68 วันนี้ได้เดินเข้าสู่ วันที่ 6 ของเหตุการณ์ แล้ว หากอิงตามสมการประเมินสถานการณ์ที่มองว่า ความขัดแย้งลักษณะนี้มักถูกบีบให้เข้าสู่จุดยุติภายในราว 8 วัน จากแรงกดดันและการแทรกแซงทางการทูต วันนี้จึงถือเป็นช่วง ปลายสัปดาห์ของวงจรความตึงเครียด ที่ทุกการตัดสินใจและทุกความเคลื่อนไหวเริ่มมีนัยสำคัญต่อทิศทางของเหตุการณ์โดยรวม
ภายหลังจากฝ่ายไทยสามารถ ดำเนินการเพื่อขอคืนพื้นที่อธิปไตยของไทยบางส่วนจากกัมพูชา ได้สำเร็จ หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการตรวจสอบยุทโธปกรณ์ที่ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ในพื้นที่ปะทะ โดยเฉพาะการพบ ระบบจรวดนำวิถีต่อต้านรถถัง (Anti-Tank Guided Missile: ATGM) รุ่นใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลทางเทคนิค พบว่ามีคุณลักษณะสอดคล้องกับอาวุธในตระกูล GAM-10X / GAM-102LR ที่พัฒนาโดยบริษัทด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของจีน
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา คือ กัมพูชาได้อาวุธประเภทนี้มาใช้ได้อย่างไร และภายใต้กรอบใด มาจากตลาดมืดหรือไม่ และใครคือผู้สนับสนุนอาวุธเหล่านี้
เป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปว่า กัมพูชาและจีนมีความร่วมมือทางทหารอย่างเป็นระบบ ผ่านการฝึกร่วมประจำปีที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Golden Dragon Joint Military Exercise” ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2016 ครอบคลุมการฝึกภาคพื้นดิน ภาคทะเล การฝึกผสม (Joint and Combined Operations) การต่อต้านการก่อการร้าย และการฝึกเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งหมดนี้ถูกอธิบายภายใต้กรอบการยกระดับขีดความสามารถเชิงป้องกันประเทศ
การฝึก Golden Dragon-2025 ยังถือเป็นหนึ่งในการฝึกที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนที่สุด มีการผสานการฝึกภาคสนามกับการฝึกบัญชาการ และมีการใช้งานยุทโธปกรณ์สมัยใหม่หลายประเภท ซึ่งสะท้อนถึงระดับความร่วมมือที่ลึกซึ้งขึ้นทั้งในเชิงเทคนิคและการปฏิบัติ
นอกจากนี้ จีนยังมีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการทหารของกัมพูชา เช่น ฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งถูกใช้เป็นพื้นที่ฝึกและสนับสนุนด้านลอจิสติกส์ร่วมกัน และมักถูกอธิบายในเชิงวิชาการว่าเป็น Strategic Support Facility ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคี
ในเชิงยุทธศาสตร์ จึงอาจเข้าใจได้ว่า ความร่วมมือเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันประเทศในบริบทที่กว้างกว่า โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์การแทรกแซงของมหาอำนาจภายนอก เช่น สหรัฐอเมริกา ในกรอบการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ซึ่งอาวุธนำวิถีขั้นสูงเหล่านี้อาจถูกออกแบบ ฝึกใช้งาน หรือจัดเตรียมไว้ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว ก็พอจะเข้าใจได้
แต่คำถามสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือ เหตุใดอาวุธที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ความชำนาญ และระบบสนับสนุนในระดับสูงเช่นนี้ จึงถูกนำมาใช้ในสมรภูมิไทย–กัมพูชา และถูกใช้กับทหารไทย
อาวุธในตระกูล ATGM ไม่ใช่อาวุธพื้นฐานที่ใครก็สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที หากแต่ต้องอาศัยกำลังพลที่ผ่านการฝึกอย่างเป็นระบบ (well-trained personnel) การควบคุมการยิงที่มีมาตรฐาน และการบูรณาการข้อมูลในระดับหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว เกินขีดความสามารถของกองกำลังท้องถิ่นทั่วไป
การตัดสินใจนำอาวุธประเภทนี้ออกมาใช้งานจริง จึงสะท้อนความเป็นไปได้อย่างน้อย 2 ประการ
1 คือ กัมพูชามีกำลังพลที่ผ่านการฝึกขั้นสูงเพียงพอสำหรับการใช้งานอาวุธดังกล่าว
2 คือ กัมพูชากำลังเผชิญภาวะขาดแคลนสรรพาวุธในคลัง จนจำเป็นต้องนำอาวุธที่เดิมอาจถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์เชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง ออกมาใช้ในความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน
หากเป็นกรณีหลัง นั่นย่อมสะท้อนภาพอีกด้านหนึ่งของสภาพคลังแสงและขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชา นั่นคือ แรงกดดันด้านทรัพยากรและยุทโธปกรณ์ ที่อาจบีบให้เกิดการเลือกใช้อาวุธ “ผิดบริบท” ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเชิงศีลธรรม
เพราะไม่ว่าที่มาของอาวุธจะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ อาวุธเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อคร่าชีวิตคนไทยในสนามรบและนั่นคือเส้นแบ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ในทุกกรอบการอธิบาย
ในวันที่ 6 ของสมการ 8 วัน คำถามคือการได้มาของอาวุธชั้นสูงแบบนี้ได้มาอย่างไร และการตัดสินใจของกัมพูชาในการนำอาวุธระดับสูงมาใช้กับประเทศไทย และสิ่งที่การตัดสินใจนั้นสะท้อนถึงสภาพจริงของคลังแสง ความพร้อม และทิศทางของความขัดแย้งครั้งนี้
คำถามเหล่านี้อาจยังไม่มีคำตอบในวันนี้ แต่การตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา คือ สิ่งจำเป็น ก่อนที่สมการ 8 วันจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดของมัน