ชายแดนไทยกัมพูชา แม้ในบางจุดจะมีการโจมตีเบาบางลง แต่จุดที่เป็นพื้นที่ช่วงชิง ยังสู้รบกันหนักหน่วงเหมือนเดิม

ชายแดนไทยกัมพูชา แม้ในบางจุดจะมีการโจมตีเบาบางลง แต่จุดที่เป็นพื้นที่ช่วงชิง ยังสู้รบกันหนักหน่วงเหมือนเดิม

View icon 172
วันที่ 18 ธ.ค. 2568 | 11.35 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
สรุปสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา แม้ในบางจุดจะมีการโจมตีเบาบางลง แต่จุดที่เป็นพื้นที่ช่วงชิง ยังสู้รบกันหนักหน่วงเหมือนเดิม กัมพูชาระดมยิงต่อเนื่อง ฝ่ายไทยยังต้องยับยั้งการโจมตีให้ได้มากที่สุด

18 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ ตำรวจ กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ ร่วมแถลงสรุปสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงมีความตึงเครียด และมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง

จุดยืนของฝ่ายไทยในการปกป้องอธิปไตยภายใต้หลักมนุษยธรรม
-ไทยไม่ใช่ผู้เริ่มต้นเหตุความขัดแย้ง
-ยึดหลักกติกาสากลในการปฏิบัติ
-หลีกเลี่ยงการโจมตีที่กระทบพลเรือน
ปฏิบัติการเฉพาะจุดที่เป็นภัยคุกคาม
-การอพยพประชาชนเป็นการตัดสินใจของฝ่ายกัมพูชาไม่ใช่ผลจากการปฎิบัติของฝ่ายไทย
-ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมสูงสุด
-พร้อมมุ่งมั่นสู่สันติภาพอย่างยั่งยืน

สำหรับไทม์ไลน์ที่กัมพูชาเปิดฉากยิงวานนี้ 17 ธันวาคม
13.00 น. กัมพูชาเปิดฉากระดมยิง BM-21 กว่า 120 นัด ใส่เป้าหมายพลเรือนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้
15.00 น. กัมพูชาระดมยิงอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องเข้ามาในพื้นที่ซำแต จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย
16.00 น.กัมพูชาระดมยิง BM-21 ใส่พื้นที่การเกษตรบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ่าแก้ว ทำให้เกิดเพลิงไหม้ พื้นที่การเกษตร เสียหายกว่า 1,000 ไร่
18.00 น.กัมพูชาระดมยิงอาวุธหนัก เข้าใส่พื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ทำให้ทหารไทยถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิตอีก 1 นาย

สำหรับสถานการณ์ของกองทัพบก พันเอกริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษก ทบ. ระบุว่า มีการโจมตีจากกัมพูชาหนักเบา แต่ละพื้นที่แตกต่างกันบริเวณ พื้นที่ที่ฝ่ายไทยยึดคืนมาได้ยังคงมีการถูกโจมตีเป็นระยะ
ในส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 บริเวณประสาทตาควาย ซึ่งจะมียุทธภูมิสำคัญ คือ เนิน 350 ปัจจุบันมีทหารที่พลชีพตรงนั้นจำนวนมาก และ ทหารไทย 2 นายที่พลีชีพบริเวณนี้ ที่ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ยังอยู่ในความพยายามรุกคืบ เพราะบริเวณดังกล่าวถูกระดมโจมตีจากฝ่ายกัมพูชาอย่างหนัก ขณะนี้ยังคงอยู่ในความพยายามอย่างหนักหน่วงของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

ในส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 จุดที่เราพยามผลักดันทหารกัมพุชาให้ออกจากพื้นที่มี 3 จุด บ้านหนองแผง บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน ทั้ง 3 จุด ทั้งไทยและกัมพูชาพยายามควบคุมพื้นที่ แต่ด้วยสภาพตรงนั้นเป็นพื้นที่ราบ และมีชุมชนอยู่ตามแนวเขตแดน การใช้กำลังจุดนั้นเรียกว่า ระดมยิงกันด้วยอาวุธวิถีโค้ง ทั้งปืนใหญ่ และจรวดเข้าหากัน เพื่อช่วงชิงพื้นที่ แต่สิ่งที่พบคือ กัมพูชาใช้ BM-21 แทนที่จะยิงทหาร โจมตีทหาร รบกันแบบทหาร แต่ว่าเมื่อวานกัมพูชายิงเข้าไปพื้นที่เกษตรและพื้นที่พลเรือนหลาย 100 ลูก ซึ่งไม่ถูกต้อง และทหารไทยต้องตอบโต้อย่างแน่นอน

ทั้งหมดจะเห็นได้ว่าฝั่งกัมพูชา แม้ในบางจุดจะมีการเบาบางลงบ้าง แต่ในจุดที่เป็นพื้นที่ช่วงชิงเรียกว่าหนักหน่วงเหมือนเดิม ฝ่ายไทยยังต้องยับยั้งการโจมตีอยู่ ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะยึดคืนแผ่นดินไทย ที่ถูกรุกล้ำกลับคืนมา แต่เพื่อที่จะทำลายอาวุธยิงสนับสนุนรวมถึงที่ตั้งทางทหารที่เริ่มที่จะเพ่งเล็งมาที่ประชาชนคนไทย ซึ่งตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น กองทัพบก ยืนยันว่า เราจะโจมตีกัมพูชา เพื่อที่จะให้สิ้นสภาพการทหาร ไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อพี่น้องประชาชนไปมากกว่านี้

สำหรับสถานการณ์ของกองทัพเรือ เรือโทหญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ระบุว่า จากสถานการณ์วันที่ 17 ธันวาคม ช่วงบ่าย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีตราด ได้เข้ายึดพื้นที่บ้านหนองรี ได้ 100% และได้ทำการตรวจค้นพื้นที่ ซึ่งผลจากการตรวจค้นพื้นที่ พบคลังทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งระเบิดชนิดนี้ได้ดัดแปลงมาจากทุ่นระเบิดดักรถถัง ซึ่งได้ตรวจพบทั้งสิ้น 16 ลูก ณ บริเวณคลัง และตรวจพบอีกหลายลูก บริเวณโดยรอบ การกระทำครั้งนี้ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงการจูงใจ สร้างอันตรายแบบไม่ระบุเป้าหมาย และในครั้งนี้กองทัพเรือ ขอย้ำว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และขัดต่อพันธกิจระหว่างประเทศ

ขณะที่ พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า จากกรณีที่มีกลุ่มบุคคลก่อเหตุถ่ายคลิปวิดีโอและเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ลักษณะยั่วยุให้ประชาชนไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกัน มีการแสดงอาวุธทั้งวัตถุระเบิด และอาวุธมีด ซึ่งเรื่องนี้ประชาชน 2 ประเทศ ไม่ได้มีการขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องที่ประเทศไทยรักษาธิปไตย โดยยึดหลักกฏหมายสากลโดยและหลักมนุษยธรรม เรื่องนี้มีการสืบสวน โดยตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จนทราบตัวผู้กระทำความผิด เบื้องต้น มีประมาณ 10 คน แต่จับกุมได้แล้วหลังเกิดเหตุไม่ถึง 48 ชั่วโมง จำนวน 3 คน เป็นชายสัญชาติกัมพูชาทั้งสิ้น

ซึ่งมีการแจ้งข้อหา มีและใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่เห็นสมควรและก่อความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งโทษหนักสุด คือ มีไว้ใช้วัตถุระเบิดอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี ซึ่งชายกัมพูชาทั้ง 3 รายจะต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองกระทำ ซึ่งจะถูกดำเนินการตามกฏหมายไทยจนถึงที่สุด และหลังจากพ้นโทษจะมีการผลักดันกลับสู่ประเทศกัมพูชา และขึ้นแบล็คลิสต์ไม่ให้เข้าประเทศไทยอีกต่อไป

ส่วนผู้กระทำผิดที่เหลือจำนวน 6-7 คน ขอให้มามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็ว เพราะรู้ตัวหมดแล้วและจะมีการจับกุมต่อไป ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยืนหยัดในการรักษาความสงบเรียบร้อยบังคับใช้กฎหมายทุกอย่าง เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย

694387ec423744.02571000.JPG

694387eca79aa5.36016545.JPG