เช้านี้ที่หมอชิต - เมื่อวาน ยังมีการปะทะกันบริเวณบ้านสามหลัง ขณะที่กองทัพเรือส่ง ผอ.ศปชด. เยี่ยมผู้อพยพที่ศูนย์พักพิงอำเภอเมืองตราด
โดยพลเรือตรี เติมชัย มงคล ผู้อำนวยการศูนย์จัดระบบป้องกันเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน หรือ ผอ.ศปชด. กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราด (กปช.จต.) พร้อมคณะนำข้าวสารจำนวน 2 ตัน เครื่องดื่มอาหารแห้ง จากกองทัพเรือและภาคเอกชน มอบให้จังหวัดตราด นำไปแจกจ่ายให้กับผู้อพยพที่ศูนย์พักพิงทั้ง 22 แห่ง
ก่อนเดินทางไปยังศูนย์พักพิงอำเภอเมืองตราด พบปะผู้อพยพและให้กำลังกำลังใจ พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดตราด ว่า ขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น แต่ที่ยังไม่สามารถให้ชาวบ้านกลับเข้าพื้นที่ได้ทันที เนื่องจากต้องรอให้กำลังทหารนาวิกโยธิน ที่อยู่หน้าแนวรบเข้าทำการเคลียร์พื้นที่เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียดเสียก่อน
ขณะที่บริเวณตำบลชำราก เมื่อวานนี้ พบว่ามีชาวบ้านบางส่วน เข้าไปรดน้ำพ่นยาในสวนทุเรียน พร้อมให้อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งบอกว่า ยังมีการเสียงจากการปะทะ และมีเสียงปืนใหญ่ ดังขึ้นตลอดทั้งวันกว่า 30 นัด และยังได้ข่าวว่ากระสุนกัมพูชาเข้ามาตกในฝั่งไทย แต่ยังไม่รู้ว่าจุดใด ซึ่งหลังจากดูแลสวนและให้อาหารสัตว์เลี้ยงแล้วชาวบ้าน ก็จะรีบเดินทางกลับไปยังศูนย์พักพิงต่อไป
พลเรือเอก ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ทางทะเล หรือ ศร.ชล. ชี้แจงว่า ประกาศเข้มงวดในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล ในจังหวัดที่มีอาณาเขตทางทะเล เช่น จันทบุรี และ ตราด เพื่อสกัดเรือไทย ขนส่งน้ำมันและยุทธปัจจัยไปกัมพูชาผ่านทางทะเล ซึ่งที่ประชาสภากลาโหม อนุมัติให้ประกาศใช้แผนดังกล่าวเมื่อวานนี้ ไม่ใช่เฉพาะจันทบุรีตราด แต่รวมไปถึง จังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี และระยอง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำว่า มาตรการนี้ควบคุมเฉพาะเรือของไทยเท่านั้น เพื่อป้องกัน ไม่ให้กัมพูชามีขีดความสามารถทางทหาร โดยจะไม่ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน
นอกจากนี้ เสนาธิการทหารเรือ ปฏิเสธข่าวในสื่อโซเชียลมีเดีย ว่า จะมีการยึดเกาะยอ-เกาะกง ยืนยันว่ากองทัพเรือไม่มี แนวนโยบายในการที่จะยึดเกาะยอ หรือ เกาะกง กองทัพเรือจะปฏิบัติการยึดคืนแผ่นดินส่วนที่กัมพูชารุกล้ำ และเป้าหมายทางทหาร ที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย ซึ่งเกาะยอมีการตั้งปืนใหญ่ที่สามารถยิงมาถึงฝั่งไทยได้ ถือว่าเป็นแนวโน้มของภัยคุกคาม ที่จะเป็นอันตรายต่อประชาชนและกำลังพล จึงต้องมีการยิงทำลาย ยืนยันไม่ได้จะขึ้นไปยึดพื้นที่ แต่อย่างใด
กองทัพเรือ เปิดเผยว่า จากการเข้าเคลียร์ พื้นที่บ้านสามหลัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยพบคลัง และทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถูกดัดแปลงจากทุ่นระเบิดดักรถถัง จำนวน 16 ลูก ที่พร้อมใช้งาน มีลักษณะจงใจสร้างอันตรายโดยไม่เลือกเป้าหมาย และเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อทั้งกำลังพลและพลเรือน และยังพบเอกสารทางทหารของฝ่ายกัมพูชา เป็นบันทึกของผู้เข้ารับการฝึกใช้งานทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ชนิด PMN-2 มีเนื้อหาถึง ลักษณะทั่วไปของทุ่นระเบิด การวาง และการเก็บกู้ ซึ่งมีการระบุวันที่จัดการสอนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ถือเป็นพยานหลักฐานที่ชัดเจน แสดงว่ากัมพูชามีการอบรม ให้ทหารใช้งานทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง สะท้อนถึงเจตนาในการใช้ สงครามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ต่อฝ่ายไทย ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ อาทิ อนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามการใช้ ผลิต หรือครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และพิธีสารเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 แห่งอนุสัญญาเจนีวา ที่บัญญัติหลักการแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารกับพลเรือน และห้ามใช้อาวุธหรือวิธีการรบที่มีลักษณะไม่สามารถจำกัดผลกระทบต่อเป้าหมายทางทหารได้