ผบ.ตร. สั่งตรวจเข้มบินโดรนรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ยังไม่พบแรงงานชาวกัมพูชาก่อกวน หรือก่อวินาศกรรม เตือนโทษสูงสุดประหารชีวิต บินโดรนในพื้นที่ต้องห้าม
จากกรณีที่มีชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ และอีกหลายพื้นที่ พบเห็นดวงไฟลักษณะคล้ายโดรน เกรงว่าอาจเป็นการสอดแนม หรือเป็นการเตรียมการก่อการวินาศกรรม และทำให้หลายหน่วยงานต้องออกมาวางมาตรการป้องกันพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ
ล่าสุดวันนี้ (22 ธ.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ตรวจสอบโดรนที่บินในเขตห้ามบินใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีการปฏิบัติการร่วมกับกองทัพอากาศและตำรวจ เพื่อสืบหาแหล่งที่มาของโดรน ทั้งนี้ได้รับแจ้งเหตุในช่วงหัวค่ำ วันที่ 20 ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา ว่ามีโดรนบินอยู่ในเส้นทางบินของรันเวย์ที่ 1 บริเวณปลายรันเวย์ ของสนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากได้รับแจ้ง ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการภาค 1, ผู้บังคับการสื่อสารภาค 1, ผู้บังคับการจังหวัดสมุทรปราการ และผู้กำกับการที่เกี่ยวข้องรอบสุวรรณภูมิ ดำเนินการตรวจสอบและตั้งจุดตรวจโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ การปฏิบัติการเป็นไปตามขั้นตอนที่สำนักงานการบินพลเรือนและกองทัพอากาศกำหนด ภายใต้มติของ สมช. เพื่อต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบและการตรวจสอบ พื้นที่ชั้นใน หรือ ไข่แดง เป็นความรับผิดชอบของกองทัพอากาศ และ AOT ส่วนพื้นที่รอบนอกรัศมี 3 กิโลเมตร เป็นความรับผิดชอบของตำรวจ
ทั้งนี้หลังเกิดเหตุตำรวจได้ตั้งจุดตรวจและใช้เครื่องมือตรวจหาโดรน แต่ไม่พบโดรน แต่ได้เพียงข้อมูลการบินเพื่อนำไปสืบสวนและวิเคราะห์ โดยมีฝ่ายสืบสวนและปราบปรามของตำรวจภูธรภาค 1 และตำรวจนครบาลนครบาล ได้ร่วมสนับสนุนภารกิจนี้ โดยมีชุดปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ หลังจากได้รับแจ้งข้อมูลมีการทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่พบโดรนที่แจ้งเหตุ ข้อมูลที่ได้จะต้องนำมาวิเคราะห์และสืบสวนทางเทคนิคเพื่อหาแหล่งที่มาและปลายทางของโดรน ซึ่งจากการตรวจพิสูจน์ทราบพบว่าบางส่วนเป็นแสงดาวจากหมู่ดาวบนท้องฟ้า และอากาศยานการบินที่ขึ้นลงในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ
ส่วนกรณีโดรนที่พบในวันที่ 21 ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา อยู่นอกรัศมีวงแดง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกองทัพบก ทราบว่าทางกองทัพบกสามารถตรวจพบและบังคับโดรนลงได้ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าอยู่ตรงบริเวณจุดไหนอย่างไร ขณะเดียวกันยังเตือนไปถึงผู้ที่นำโดรนขึ้นบินในพื้นที่ต้องห้าม การกระทำดังกล่าวถือว่ามีโทษหนักตาม พ.ร.บ.การบิน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไร้คนขับโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ เกี่ยวกับการแฝงตัวหรือการใช้โดรนจากแรงงานประเทศกัมพูชาที่อยู่ภายในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ทาง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากข้อมูลการข่าวยังไม่พบว่าเป็นกลุ่มแรงงานประเทศกัมพูชาที่ก่อเหตุดังกล่าว แต่หลังมีการปะทะในรอบแรก ได้สั่งให้ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและการจัดการแรงงานต่างด้าว โดยให้ รอง ผบ.ตร. 2 นายที่ดูแลงานความมั่นคงและดูแลงานด้านการปราบปราม แยกหน้าที่กันในการปราบปรามชาวต่างชาติผิดกฎหมาย ซึ่งฝ่ายความมั่นคง ได้เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการเอาพวกต่างด้าวออกนอกประเทศ" เรียกว่าเป็นการขุดและจัดการนำคนต่างด้าวและชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายออกนอกประเทศ เพื่อความมั่นคงของชาติ ในวันเดียว สามารถจับกุมชาวต่างชาติผิดกฎหมายได้กว่า 12,000 คน ซึ่งจะถูกดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศทันที ตอนนี้กำลังดำเนินการแยกสัญชาติของชาวต่างชาติที่ถูกจับกุม เพื่อวิเคราะห์ว่าเข้ามาทำอะไรและประกอบธุรกิจอะไร
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีข้อมูลชาวต่างชาติที่ต้องตรวจสอบประมาณ 300,000 คน ซึ่งฝ่ายปราบปรามกำลังถอดวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางเข้าออกของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีจารชนของประเทศกัมพูชาเข้ามาซุกซ่อนแทรกแซงอยู่ในประเทศไทย อย่างไรก็ตามได้สั่งให้หน่วยงานตำรวจฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดแล้ว หากพบก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ส่วนกรณีของชาวกัมพูชาออกมาใช้อาวุธมีดและขว้างปาระเบิดปิงปองในพื้นที่ จ.ชลบุรี จากการตรวจสอบล่าสุดไม่พบว่าเป็นการก่อวินาศกรรม หรือการเข้ามาก่อเหตุความวุ่นวายภายในพื้นที่ เป็นการทะเลาะวิวาทกันระหว่างกลุ่มชาวกัมพูชา 2 กลุ่ม ที่ท้าทายกันไปมา ล่าสุดพบว่ามีผู้ก่อเหตุรวมทั้งหมด 11 คน สามารถจับกุมมาดำเนินคดีได้แล้ว 3 คน แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการปะทะ หรือการเข้ามาก่อความปั่นป่วนในพื้นที่