“ยศชนัน” พบ “สภาอุตสาหกรรม” เผยเคยทำงานร่วมกันมาก่อน พร้อมนำงานวิจัยมาใช้จริง เพื่อช่วยภาคอุตสาหกรรม

“ยศชนัน” พบ “สภาอุตสาหกรรม” เผยเคยทำงานร่วมกันมาก่อน พร้อมนำงานวิจัยมาใช้จริง เพื่อช่วยภาคอุตสาหกรรม

View icon 31
วันที่ 24 ธ.ค. 2568 | 13.27 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“ยศชนัน-สุริยะ” นำทีม “เพื่อไทย” พบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุ พร้อมนำงานวิจัยมาใช้จริง เพื่อช่วยภาคอุตสาหกรรม ย้ำรัฐต้องเป็นผู้จัดหาลิขสิทธิเทคโนโลยี และ ลดภาระการผู้ผลิต
.
วันนี้ (24 ธ.ค. 68) นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรค และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นำทีมเพื่อไทย เข้าพบผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พูดคุยหารือประเด็นปัญหาต่าง ๆ  และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ
.
ประธานสภาอุตสาหกรรม ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมถือเป็นหนึ่งในสามของ GDP ประเทศ มีสมาชิก และมีผู้ประกอบการในการจ้างงานจำนวนมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้วยปัญหาต่าง ๆ ความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้น จึงต้องมีการปรับตัวอุตสาหกรรม ขณะนี้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งเทคโนโลยี ขณะเดียวก็มีปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ แพลตฟอร์ม เรื่องสงครามการค้า ซึ่งส่งผลกระทบทำให้สินค้าต่าง ๆ มีการเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง แม้จะมีการส่งออกสินค้าจำนวนมาก แต่ก็มีสินค้าเข้ามาในภูมิภาคนี้จำนวนมาก รวมทั้งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะ SMEs ถือว่า เป็นผู้ที่มีความอ่อนแอ และได้ผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งถือเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
.
นายยศชนัน กล่าวว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารับฟังชาวอุตสาหกรรมเสนอ เพราะเคยเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยงานชาวสภาอุตสาหกรรมมาโดยตลอด พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เรามีอยู่แล้ว และสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้ามาทุกรูปแบบ เนื่องจากตอนนี้ เรามีปัญหาเกี่ยวกับคน เพราะมีสังคมผู้สูงวัยมากขึ้น สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ การเข้ามาของเอไอ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการส่งเสริมเส้นทางคมนาคมให้เต็มรูปแบบสู่ Advanced Manufacturing (การผลิตขั้นสูง)
.
โดยรัฐบาลจะเป็นผู้จัดหาลิขสิทธิ์เทคโนโลยี หรือ License-in ซึ่งรัฐบาลสามารถลงทุนเองได้ เช่น โครงการจัดหาแท็บเล็ตให้กับเด็กไทย แทนที่เราจะซื้อตัวเครื่องจากต่างประเทศอย่างเดียว รัฐบาลควรเปลี่ยนมาลงทุนในเทคโนโลยีแกนกลางของแท็บเล็ตนั้นได้หรือไม่ และ สามารถส่งชิ้นส่วนบางส่วนเข้ามาให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการผลิต ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากการวางรากฐานที่ดี ไม่ใช่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว แต่ต้องขยายผลไปสู่การวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ในระดับมหภาค เช่น ไต้หวัน ที่จะมีการส่งสินค้าเข้ามาลงทุนก็ต้องมีการร่วมมือกับ Science Park เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อเราดึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาแล้ว
.
สิ่งสำคัญคือไทยต้องพร้อมรองรับ และต้องมีการอัพสกิล รีสกิล เพิ่มทักษะแรงงานในทุกมิติ และหากบุคลากรในประเทศยังไม่พอ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้นผ่านระบบ One Stop Service หรือไม่ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องดูว่าจะขัดต่อกฎหรือไม่ โดยภาครัฐก็จะช่วยเหลือในส่วนนี้ด้วย
.
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบด้าน Synthetic Biology (ชีววิทยาสังเคราะห์) ซึ่งเรามีผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยวิจัยจำนวนมากที่พร้อมจะเชื่อมโยงความรู้สู่ภาคเอกชน เพื่อให้นำมาใช้จริงรวมถึงการผลักดัน Green Premium เพื่อให้อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีต้นทุนที่แข่งขันได้มากกว่าอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เพื่อให้เห็นว่าไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
.
ส่วนเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity) บริษัทใหญ่หากจะต้องลงทุนใน R&D การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม โดยการสนับสนุนให้เกิด Startup Spin-off และ SME รัฐควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียสร้างสรรค์ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งวันนี้หากทำให้คนที่ยังสดใหม่อยู่ มีแนวคิดใหม่ ๆ ตนเองเห็นโครงการของสภาอุตสาหกรรมให้บริษัทใหญ่ทำหน้าที่เป็น Venture Capital (VC) หรือ Angel Investor เมื่อบริษัทใหญ่เห็นศักยภาพก็สามารถเข้าซื้อสิทธิ์ หรือร่วมกิจการได้ โดยให้บริษัทใหญ่เป็นผู้เฟ้นหา และซื้อลิขสิทธิ์ กิจการของสตาร์ทอัพเหล่านี้
.
ดังนั้น เราจะได้ไอเดียมากมายเต็มไปหมดจากคนตัวเล็กเล็ก ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสของลูกหลานของเราเชื่อมโยงกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมยา แน่นอนว่าเรื่องนี้คนตัวเล็กไม่สามารถ ทำได้จนจบสุดท้ายบริษัทใหญ่ต้องซื้อลิขสิทธิ์ไปอย่างแน่นอน ดังนั้น กลไกเหล่านี้ จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ สามารถที่จะเจอความคิดสร้างสรรค์ได้ คือ Ecosystem ซึ่งวันนี้หากเปลี่ยนรัฐบาลประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร แต่ว่าระบบ Ecosystem หรือโครงสร้างพื้นที่และการที่เราอยู่ในพื้นที่ที่ถูกต้อง ไม่ว่าลูกหลานเราจะเกิดในพื้นที่ใดก็แล้วแต่จะสามารถเดินหน้าต่อได้